เรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่เคยเล่าไว้ที่ไหนมาก่อน
เพราะกระดากและอับอายเป็นที่ยิ่ง
วันนี้ถือว่าเป็น #การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง ของข้าพเจ้า เกี่ยวแก่การทำหนังสือให้ฟังก็แล้วกัน
ปี 2550 หรือเมื่อประมาณสิบสามปีล่วงมาแล้ว
ข้าพเจ้าได้ทำหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งพิมพ์ในระบบออฟเซ็ตเป็นเล่มแรก
ด้วยความหวังว่า จะส่งเข้าประกวดรางวัลซีไรต์และเข้ารอบกับเขาบ้างอะไรบ้าง
การทำหนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากลำบาก
เพราะตอนนั้นข้าพเจ้ายังเรียนอยู่ปี 5 คณะทันตแพทย์ จุฬาฯ
และแทบไม่มีความรู้เกี่ยวกับการพิมพ์หนังสือเลย
โชคดีหน่อยที่เทคโนโลยีการพิมพ์ก้าวหน้าไปพอสมควรแล้ว
จึงสามารถทำหนังสือเป็นเล่มได้ด้วยตัวคนเดียว
แน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้สอนอะไรข้าพเจ้าหลายอย่างมาก
จากความผิดพลาดมากมายที่เกิดขึ้น
เช่น การออกแบบ การจัดหน้า การทำปกทำเนื้อใน การทำงานส่งโรงพิมพ์ (สมัยนั้นยังต้องใส่แผ่นซีดีส่งให้กันอยู่)
และที่สำคัญที่อยากขยายความก็คือ คำผิด
เพราะสำหรับข้าพเจ้าการทำหนังสือแล้วมีคำผิดอยู่ในหนังสือนี่มันเหมือนเป็นตราบาปชั่วชีวิตของคนทำหนังสือเลยทีเดียว
ทั้งที่ตรวจแล้วตรวจอีก แม้กระทั่งให้น้องอ่านให้ฟังเพื่อที่จะได้ไม่หลงหูหลงตากับตัวอักษร
(โชคดีที่มันเป็นหนังสือกวีนิพนธ์ มันจึงไม่ต้องใช้เวลาในการอ่านมากนัก)
แต่กระนั้นเมื่อหนังสือพิมพ์เสร็จออกมาเป็นเล่ม
ก็ยังพบ คำผิดบ้าง วรรคผิดบ้าง อยู่ถึง 5 จุด
ซึ่งแน่นอนว่าข้าพเจ้าทนไม่ได้ที่จะเห็นคำผิดในเล่ม
คิดว่าจะทำอย่างไรดี ปล่อยให้มันไปไว้อย่างนี้ เพราะมันก็เป็นธรรมดา หนังสือมันก็มีผิดมีพลาดบ้าง(ข้าพเจ้าเคยเห็นหนังสือกวีนิพนธ์ โดยเฉพาะจำพวกโคลง ก็มีเว้นวรรคผิดอยู่ให้เห็น) หรือจะแก้ไข
คิด ๆ แล้วก็ แก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นเราก็จะมานั่งเสียใจภายหลัง
จึงแก้ปัญหาด้วยการแปะสติกเกอร์ทับ
ซึ่งจากการสอบถามโรงพิมพ์ เขาบอกว่าสามารถทำให้ได้ แต่คนแปะก็คือ แม่บ้าน
ซึ่งข้าพเจ้าชั่งใจแล้ว มันต้องแปะบรรทัดให้ตรง ตัดสติกเกอร์ให้สวยงาม
ซึ่งข้าพเจ้าเคยเห็นที่เขาแปะ ๆ กัน งานประเภทนี้ถ้าให้แม่บ้านทำ
ก็คงได้ร้องไห้กันอีกรอบ และถ้าแก้อีกก็คงไม่ทันกาล เพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะหมดเขตส่งประกวดแล้ว
ข้าพเจ้าแก้ปัญหาด้วยการปริ๊นท์สติกเกอร์เอง ซึ่งก็ต้องตามหาพอสมควรเพราะกระดาษเป็นกระดาษถนอมสายตา
การหาสติกเกอร์สีเหลืองนวล ๆ ให้เข้ากับกระดาษนั้นนับว่ายากยิ่ง
ต้องปริ๊นท์ให้ตัวอักษรเท่ากัน ต้องตัดกระดาษให้ได้บรรทัดที่พอดี
และที่สำคัญ หนังสือมีทั้งหมด 1,000 เล่ม
แปลว่า ต้องติดทั้งหมด 5,000 ครั้ง ตัดกระดาษอีกกี่ครั้งนับไม่ถ้วน
ส่วนสถานที่ทำงาน ไม่ใช่ที่บ้านหรือที่อยู่อาศัยที่เหมาะแก่การทำงานแต่อย่างใด
เพราะข้าพเจ้าอาศัยอยู่หอพักนิสิต หรือที่เรียกกันว่าหอใน หนังสือทั้งหมดก็ให้เขาเอามาส่งที่ใต้หอจำปา หรือหอเฟื่องฟ้า ในสมัยนั้น
(หอนี้ชื่อจะเปลี่ยนไปตามเพศของนิสิตที่เข้าไปอยู่ สมัยใดเป็นหอหญิงจะเรียกหอเฟื่องฟ้า สมัยใดเป็นหอชายจะเรียกหอจำปา และที่สมัยนั้นมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็เพราะว่าเขากำลังมีการสร้างหอใหม่กัน นิสิตจึงต้องอพยพย้ายถิ่นกันบ่อย ๆ แม้แต่หอจำปี ซึ่งเป็นหอชายล้วนมาตลอดก็เคยกั้นพื้นที่บางชั้นเพื่อทำเป็นหอหญิงด้วยเหมือนกัน)
หนังสือทั้งหลายนั้น เขาห่อมาอย่างเรียบร้อยตึงเป๊ะ ข้าพเจ้าต้องค่อย ๆ บรรจงแกะห่อ เพราะต้องห่อคืน เพื่อนำไปส่งสายส่งเอง
(ตามปกติโรงพิมพ์เมื่อพิมพ์งานเสร็จเขาจะส่งไปที่สายส่งให้เราโดยอัตโนมัติ ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดเอาสะดวกว่า อย่างนี้เราก็ทำได้สบายโดยไม่ต้องมีพื้นที่เก็บสินค้าเป็นของตัวเอง
เพราะงานเสร็จเขาก็เอาไปเลย ไม่ต้องมีโกดังให้ยุ่งยาก อีกทั้งเป็นเล่มแรกกว่าเขาจะตีหนังสือคืนมาก็คงอีกนาน จากนั้นค่อยว่ากัน คิดง่าย ๆ แบบนี้)
การแปะสติกเกอร์หนังสือแต่ละเล่มนั้นไม่ง่ายนัก
ประการแรก ข้าพเจ้าไม่มีคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเอง
การทำหนังสือของข้าพเจ้านั้น ต้องยืมคอมพ์เพื่อนบ้าง ใช้ห้องคอมพ์หอพักบ้าง แม้กระทั่งอาศัยร้านปริ๊นท์เอกสารบ้าง
พอได้มาแล้วก็ต้องตัดก่อน ด้วยคัตเตอร์ ไม้บรรทัด และด้วยมือนี่เอง แล้วก็ทยอยแปะเป็นหน้า ๆ ไป ต้องวางแผนให้ดี จะแปะอะไรก่อนหลัง
อันไหนไม่แปะอันไหนไปแล้ว
มีน้องมาช่วยบ้าง มีชาวหอบางคนเห็นเขาสนใจก็มาชะโงกดูบ้าง บางคนก็มาเปิดอ่านในใจบ้าง อ่านออกเสียงเป็นทำนองเสนาะบ้าง (เล่มนี้เป็นงานฉันทลักษณ์ทั้งหมด)
มีวิพากษ์วิจารณ์ติชมบ้าง
ข้าพเจ้านั่งทำอยู่สามวันสามคืนติดต่อกัน ไม่ได้หลับได้นอน มีแอบงีบเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
เวลาขึ้นไปอาบน้ำก็ฝากยามช่วยดูแล (ซึ่งคิดว่าก็คงไม่มีใครอยากมาขโมยหรอก แค่กลัวหมาจะมากัดกันใส่แล้วมันเละเทะ 555)
ฝากคนซื้อข้าวมาให้กินบ้าง เดินไปซื้อเองบ้าง นั่งทำอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเสร็จ
เสร็จแล้วสิ่งที่ต้องทำเบื้องต้นก็คือ เอาหนังสือไปส่งที่โรงแรมโอเรียนเต็ล
มันเป็นวันสุดท้ายที่เขาให้ส่งประกวดได้
พี่ธรรม ทัพบูรพา ซึ่งเป็นพี่ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ และให้ข้าพเจ้ายืมชื่อสำนักพิมพ์
ก็แนะนำว่า เอาไปส่งเองเลย เพราะส่งไปรษณีย์ไม่รู้จะถึงหรือเปล่า เผื่อสูญหายรายทาง อะไรก็เกิดขึ้นได้
ข้าพเจ้าก็เชื่อฟัง เพราะพี่เขาส่งงานเข้าประกวดปีนั้นด้วย ซึ่งก็ว่า พี่ก็เอาไปส่งเอง
นับหนังสือตามจำนวนที่เขาต้องการ เผื่อเหลือเผื่อขาดนิดหน่อย หอบขึ้นแท็กซี่ไปที่โรงแรม ซึ่งก็เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว
นับเป็นครั้งแรกที่เอาหนังสือไปส่งประกวดรางวัลซีไรต์ ซึ่งมันก็ยิ่งใหญ่เหลือเกินในสายตาของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ไปถึงก็งก ๆ เงิ่น ๆ บอกเขาว่า เอาหนังสือมาส่งประกวดรางวัล เขาก็พาไปสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง เป็นชั้นใต้ดิน
ณ ที่นั้นเป็นสถานที่เก็บหนังสือที่ส่งเข้ามาประกวดในปีนั้น
เขาก็ให้เขียนใบสมัคร แล้วก็นั่งรอ
ข้าพเจ้าก็สอดส่ายสายตาดูว่า มีเล่มไหนบ้างส่งเข้ามาประกวด หนังสือที่ส่งเข้าประกวดมีเยอะมาก หลายเล่มก็คุ้นชื่อคุ้นตา หลายเล่มไม่เคยรู้จักเลย
ก็คงเป็นจำพวกพิมพ์เองเหมือนข้าพเจ้านี่แหละ บางเล่มเราแค่ดูหน้าปกก็รู้ว่าพิมพ์เฉพาะกิจ และเป็นการพิมพ์แบบออนดีมานด์
สมัยก่อนระบบพิมพ์ดิจิทัล เป็นอะไรที่ยังไม่มีประสิทธิภาพมาก แทบไม่ต่างจากซีรอกซ์ หน้าปกก็กระเดิดเถิดเทิงออกมา ไม่สวยงามเลย (สมัยนี้ก็ยังเป็นอยู่บ้าง แต่ดีขึ้นกว่าเดิมหน่อย) ซึ่งอันนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากพิมพ์แบบนั้น เพราะมันดูไม่เป็นหนังสือจริง ๆ ไม่ดูเป็นมืออาชีพ ไม่เหมือนหนังสือที่ขายกันตามร้านหนังสือ (ซึ่งเอาเข้าจริงหนังสือพิมพ์ออฟเซ็ตและแปะสติกเกอร์คำผิดของข้าพเจ้านี่แหละที่สุดแล้วกลายเป็นว่าดูกระจอกงอกง่อยอย่างที่สุด)
ส่งใบสมัครเสร็จอะไรเสร็จ ก็หมดธุระเกี่ยวกับการประกวด
แต่ยังมีธุระสำคัญยิ่งรออยู่นั่นก็คือ การเอาหนังสือไปส่งที่สายส่ง
ข้าพเจ้าก็คิดว่าจะเอาไปอย่างไรดี หนังสือตั้งพันเล่ม ลองคำนวณคร่าว ๆ แล้วคิดว่า
เอาวะ ใส่แท็กซี่ไปก็น่าจะหมด
ก็เรียกแท็กซี่มา
เพื่อขนไปสายส่ง แทกซี่ก็ใจดีเหมือนกัน เพราะของตั้งเยอะขนาดนั้น ยังยอมให้เราเอาใส่รถเขาได้ ไม่กลัวยางระเบิด 555
ขน ๆ อยู่หลายเที่ยว เพราะมันต้องเดินไกล จากใต้หอขนไปแท็กซี่ หนักก็หนัก
พอดีมีน้องรหัสเดินมาเห็นถามว่า พี่ทำอะไร บอกว่า ขนหนังสือไปสายส่ง
น้องก็ใจดีมาก ช่วยขน ขนขึ้นรถแล้วก็ยังนั่งรถเป็นเพื่อนไปด้วยที่สายส่ง
ที่สำนักพิมพ์แม่โพสพ
อาจารย์ทองแถม ซึ่งทำบริษัทกระจายหนังสือด้วยในขณะนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่เคยเห็นตัวจริง ไม่เคยรู้จักมักคุ้น
แต่พี่ธรรมได้ฝากฝังเอาไว้ให้ ก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีเหมือนคนเคยเห็นกันมาแต่ชาติก่อนหนหลัง
ก็รับหนังสือไว้และกระจายไปตามร้านหนังสือต่าง ๆ ในที่สุด
เรื่องก็ดูเหมือนจะจบลงแค่นี้อย่างสงบงดงาม
แต่...
มันไม่จบเท่านี้ เพราะ...
ข้าพเจ้าสมัยนั้นยังเป็นนิสิตจน ๆ ไร้เงินไร้ทอง
งานการที่ทำก็ไม่มี มีเพียงแต่เขียนหนังสือขายบ้าง เขียนประกวดบ้าง
ได้เงินมานิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่มีเก็บมีกันอะไรเอาไว้
คิดเอาตามที่ “เขา” ว่า โรงพิมพ์จะให้เครดิตเราเท่านั้นเดือนเท่านี้เดือน ขายหนังสือได้ก็คงมีเงินส่งเขาบ้าง
แต่เอาเข้าจริงก็คือ โรงพิมพ์เขาไม่ได้ให้เครดิตอะไรเราหรอก
เพราะเราไม่ได้ทำธุรกิจ เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ แค่พิมพ์หนังสือเฉพาะกิจกระจอก ๆ เล่มเดียวคนหนึ่ง
หนังสือเสร็จเขาก็มาเก็บเงินถึงที่
โรงพิมพ์นี้จริง ๆ เขาพิมพ์ไม่แพง พี่นิคมซึ่งเป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์นกฮูกในสมัยนั้น เป็นคนแนะนำให้
ข้าพเจ้าไปสืบดูก็รู้ว่า หนังสือดัง ๆ สำนักพิมพ์ดี ๆ หลายแห่งก็ใช้ที่นี่กัน
ราคาไม่แพง แถมยังใจดีไว้ใจพิมพ์ให้เราก่อนโดยไม่เรียกเงินมัดจำอะไรเลย
แม้กระนั้นก็ดี เมื่อถึงตอนจะจ่ายเงิน พอไม่มีเงิน ที่ว่าไม่แพง ๆ มันก็แพงขึ้นมาอย่างมากหลายเหลือขนาด
เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร อับจนเงินทอง อับจนหนทาง ข้าพเจ้าก็ใช้หนทางสุดท้าย
โทรหาที่บ้าน
ครอบครัวของข้าพเจ้านั้นก็ยากจนข้นแค้นหนักหนา ลำพังจะหาเงินมาซื้ออาหารการกินก็ลำบากเหลือแสน
แต่ก็เป็นความหวังสุดท้ายของชีวิต
คุยครั้งแรกไม่ได้เงิน
เพราะไม่มีใครเห็นด้วยที่ข้าพเจ้าลงทุนทำหนังสือ
ตระกูลของเราก็ทำไร่ไถนาค้าผักขายปลาเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องหนังสือหนังหาไม่มีอยู่ในสายเลือด
แต่ที่สุดของที่สุด
เมื่อเข้าตาจน ยายของข้าพเจ้าก็บอกว่า เอาเถอะ ไหน ๆ ก็ทำมาแล้ว เขาก็มาไล่เอาเงินแล้ว
ไม่มีให้เขาก็ไม่ได้ จึงถอดแหวนทองคำวงเก่า ๆ ที่สวมนิ้วอยู่ ต่างหูเล็ก ๆ ที่มีอยู่ เอาไปขายร้านทอง
บวกกับเงินอีกนิดหน่อยที่เก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
รวบรวมทั้งหมดส่งมาให้ข้าพเจ้า
น้ำตามันไม่มีจะไหลแล้วตอนนั้น เพราะมันไหลมามากมายตั้งแต่พบว่า หนังสือมันมีคำผิดห้าแห่งตอนที่หนังสือพิมพ์เสร็จแล้ว
จริง ๆ ถ้าเทียบแล้วมันก็คงไม่มากมายนักหรอกเงินที่ว่า ประมาณสามหมื่นบาท (อันนี้รวมแก้เพลทด้วย เพราะอย่างที่เล่า
ก่อนคำผิดห้าแห่งนั้น ก็แก้คำผิดกันมามากมาย แก้แล้วแก้อีก นึกว่าไม่มีผิดแล้วก็สั่งทำเพลท
ทีนี้พอต้องแก้เพลทมันต้องเสียเงินเพลทละ 600 บาท ไม่แก้ก็ไม่ได้ แก้ช้าก็ไม่ได้เพราะไฟลนแล้ว จะส่งหนังสือประกวดไม่ทัน
มันจะหมดเขตส่ง)
ซึ่งแม้เงินจำนวนสามหมื่นบาทในทางกายภาพก็จริง หากในความรู้สึกของข้าพเจ้าคนที่ไม่มีเงินมันก็ราวกับเงินแสนเงินล้านเลยทีเดียว ณ ตอนนั้น
ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร
หนังสือก็ไม่ได้เข้ารอบอะไรกับเขาเลย 5555 (ตอนนั้นมีแค่ประกาศรอบสุดท้ายแล้วก็ประกาศผลเลย ไม่มีรอบ Longlist)
นอกจากนั้นหนังสือก็ขายไม่ได้ (หนังสือกวีนิพนธ์มันก็ขายไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งข้าพเจ้า ณ ขณะนั้นนอกจากรู้ว่าต้องพิมพ์หนังสือเป็นเล่ม
เอาไปให้สายส่งส่งเพื่อวางขายตามร้านหนังสือแล้ว
ก็ไม่รู้กลไก ไม่รู้อะไรใด ๆ เกี่ยวกับการตลาด หรือเกี่ยวกับอะไรอื่นอีกเลย หนังสือธุรกิจหนังสืออะไรเทือกนี้ไม่เคยอ่านเลย อ่านแต่วรรณกรรมกับหนังสือเรียน
เรียกง่าย ๆ ว่า มืดแปดด้าน)
กว่าข้าพเจ้าจะหาเงินหาทองไปคืนยายได้ก็ปาไปตอนเข้ารับราชการทำงานแล้วโน่น
ส่วนหนังสือที่เหลือจากการขายมายาวนานหลายปีดีดักข้าพเจ้าเพิ่งไปรับคืนมาเมื่อปีก่อน ๆ ซึ่งก็เอามาขายบ้าง แจกบ้าง ตอนนี้เหลืออยู่ไม่ถึงสิบเล่ม
ส่วนเรื่องเงินจากหนังสือเล่มนี้นั้นไม่ต้องพูด 555
นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็ให้คิดคำนึงว่า เออ เรานี่ก็บ้าเหลือเกิน ทำอะไรลงไปก็ไม่ทราบ
ถ้าจะให้ทำแบบนั้นอีกก็คงไม่ทำแล้ว ใช้ชีวิตสุ่มเสี่ยงและไร้ประสิทธิภาพเหลือเกิน
แต่นั่นแหละ มันก็ไม่ได้สูญเปล่า
หากมันคือประสบการณ์และรากฐานอันใหญ่หลวงที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เดินทางมาจนถึงวันนี้
หยิบหนังสือขึ้นมาสูดดมกลิ่นทีไร ภาพตัวเองนั่งหน้าเมือกแปะสติกเกอร์ที่ใต้หอ ก็ลอยมาทุกที
ภาพกระบวนการต่าง ๆ ที่ได้ทำ ผู้คน บรรยากาศ ก็ฉายชัดขึ้นมาเป็นภาพ ๆ เหมือนว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
จริง ๆ รายละเอียดเรื่องนี้และการทำหนังสือมีเยอะกว่านี้มาก อันนี้เป็นแต่ย่อ ๆ
จะรออ่านเมื่อเขียนเป็นเล่มอีกทีก็ได้ครับ
สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์
ธัชชัย ธัญญาวัลย
พฤษภาคม 2563