ซื้อ E-BOOK

Thumbnail Seller Link
การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง
ธัชชัย ธัญญาวัลย
www.mebmarket.com
คุณจะสำรวจลึกลงไปในสิ่งต่าง ๆ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านถ้อยคำ ที่กรองประกอบขึ้นเป็นหนังสือเล่มนี้ “การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง” กวีนิพนธ์เชิ...
Get it now

I Love Therefore I Am ( 2 ) : ดุจเสียงระฆังแห่งหัวใจ


ถึงดอยสุเทพโดยสวัสดิภาพ

รู้สึกราวกับว่า  ระยะทางที่ขึ้นไปนั้น

ไม่ไกลเลย

และดูเหมือนว่า  มันใช้เวลาไม่นาน

ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า

แต่ความรู้สึกก็บ่งบอกเช่นนั้น



แทนที่จะรีบขึ้นไปสักการะพระธาตุ

ข้าพเจ้าก็เอ้อระเหยตามนิสัยสันดานเดิม

แวะลงไปกินข้าวซอยที่ร้านตรงลานจอดรถ

ไปฉี่

เดินดูร้านรวงข้าวของ

ก่อนที่จะเดินเลาะเลียบแผงของกินอีกรอบ

อากาศหนาวมาก

มันเพิ่งหนาวขึ้นจากเมื่อสองสามวันก่อน

ลมพัดหวีดหวิว

โชคดีที่มีทั้งผ้าพันคอและเสื้อกันหนาว

กระนั้นก็ตัวสั่นงันงก

นึกอยากกินข้าวโพดปิ้งให้คลายหนาว

แต่ก็ไม่ได้กิน

เดิน ๆ  ขึ้นไป  ก็หยุดตรงหัวกระไดพญานาค

เอ้อระเหยอีกนิด

ดูผู้คน

ดูสิ่งนั้นสิ่งนี้

ถ่ายรูป ( ด้วยกล้องมือถือ )

สภาพแวดล้อมเหมือนเดิม

แต่คนเยอะมาก

ทั้งที่เวลาก็ใกล้จะห้าโมงเย็นแล้ว

ผู้คนแน่นขนัด

ปกติข้าพเจ้ามาเมื่อหลายปีก่อน  และหลาย ๆ  ปีก่อน

ไม่ค่อยมีคนนัก

ยิ่งวันปกติเช่นนี้

วันจันทร์เสียด้วย

ไม่น่าจะมีคน

แต่ก็มี

ฝรั่งก็เยอะ

คนจีน  เยอะมาก

สมัยก่อน  (  อาจจะเมื่อสักสิบปีก่อน )

จำได้ว่า

แทบไม่มีคนเลย

มีก็แต่คนไทย

จะหาต่างชาติทำยานั้นยากมาก

เพราะมีแต่คนไทยเท่านั้นแหละ

ที่นิยมสักการะบูชาเจดีย์

อันนี้พูดในความหมายที่ไม่มีคนลาว  หรือคนพม่า  มาเกี่ยวข้อง

และหมายถึงในเมืองเชียงใหม่



เอ้อระเหยเสร็จ

ก็เดินขึ้นบันได

เนื่องจากใส่รองเท้าวิ่งมา

จึงเดินได้สบายตีนดีมาก

ไอ้รองเท้าวิ่งนี่มันก็ดีอย่างหนึ่ง

ช่วยให้เราเดินสบาย  สะดวก

วิ่งก็สบาย  สะดวก

คือดีกว่ารองเท้าชนิดอื่น  ถ้าเราเอามาใส่เดิน

ถึงพระธาตุ  ก็บูชาดอกไม้

สองดอก  ( คือ  เผื่อใครสักคนที่ไม่ได้มาด้วย  ว่างั้นเถอะ )

เดินรอบเจดีย์สามรอบ

ระหว่างเดินก็ได้ยินภาษาจีน  ภาษาเกาหลี  ระงมไปหมด

เสียงนับจังหวะถ่ายรูปบ้าง  เสียงคุยกันบ้าง

เสียงระฆังบ้าง

แดดกำลังสวย

และข้าพเจ้าก็เจอกับเพื่อนร่วมทาง  พ่อ  แม่  ลูก  ฝรั่ง  อีกครั้ง

ซึ่งก็ยังคงไม่ได้ทักทายอีกตามเดิม

เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่คนอัธยาศัยดี

5555


( พระธาตุยามเย็น  มีแสงส่องกระทบ  สวยมาก )

ไม่ได้เอากล้องเทพไป

ก็จำต้องถ่ายด้วยกล้องมือถือ  กาก ๆ  

กระนั้นก็ยังสวยอยู่บ้าง

เดินสำรวจรอบ ๆ  

ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง



ฝั่งชมวิวเมือง  เห็นเหล็กแหลม  ๆ  โผล่มานั่นคือเสาเข็ม

ไม่รู้ว่าจะสร้างอะไร

ความจริงข้าพเจ้าคิดว่า  ฝั่งนี้ไม่ควรสร้างอะไรขึ้นมาแล้ว

เพราะมันจะบังวิว

มุมนี้มันสวยโดยธรรมชาติ

น่าเสียดายหากเราจะถ่ายรูปทิวทัศน์ของเมืองเชียงใหม่

แล้วมันมีหลังคา  หรือดาดฟ้า  หรืออะไรสักอย่าง

เกะกะอยู่ข้างล่าง  และติดมาในรูปด้วย

รูปนี้พยายามจัดองค์ประกอบให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะไม่ติดเหล็กสับปะรังเคนั่น

( แต่ก็ยังติดมาอยู่ดี )



เดินรอบ ๆ  ทั่วแล้ว  ก็เดินลง

ยืนมองยักษ์ท้าวเวสสุวรรณ  ตรงประตูทางเข้าแป๊บหนึ่ง

เดินอย่างไม่รีบร้อน

ข้าพเจ้ามีเวลาเหลือเฟือ

ตอนลงก็เพิ่งจะห้าโมงเย็นกว่า ๆ  

ได้ยินคนอื่นพูดคุยกันว่า

อุณหภูมิประมาณ  18-19  องศาเซลเซียส



ลงมาก็แวะไปดูพวกพระพุทธรูปที่เขาขาย

ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อหรอก

ของพวกนี้มันดาษดื่นและไม่เป็นที่ดึงดูดสำหรับข้าพเจ้ามานานแล้ว

อีกทั้งลักษณะที่ทำก็ไม่ต้องใจข้าพเจ้า

แต่ในที่สุด

ก็มีเจ้าของร้านเดินมาจนได้

บอกว่า

อยากได้อะไร  ดูก่อนนะ  ถ้าเอาจะลดให้ในราคาคนไทย

เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนขี้เกรงใจ

ถ้าเขาไม่มาพูดด้วย

ก็คงเดินหนีไปแล้ว

แต่พอเขามาพูดด้วย

จะหนีไปก็เกรงใจ

เลยตัดสินใจดูต่อ

ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจอยู่ดี

คนขายพยายามอธิบายให้ข้าพเจ้าฟัง

องค์นั้นสมัยนั้น  องค์นี้สมัยนี้  ศิลปะแบบนั้นแบบนี้

ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจ

ศิลปะพวกนี้ข้าพเจ้าดูมาจนเอียน

เขาก็นำเสนอไปเรื่อย

จนกระทั่ง

อันนี้ครูบาเจ้า  องค์ยืน  สวยมาก  เลยนะคะ

ข้าพเจ้าหันไปมองตาม

สวยจริง ๆ  อย่างที่เขาว่า

เป็นทองเหลืองรมดำ

เขาว่า  ขายฝรั่งหกพันห้า

พี่ลดให้น้องเหลือสองพัน

ข้าพเจ้าพิจารณาแล้ว

อ๋อ.....สิ่งนี้นี่เอง  ที่เรียกร้องข้าพเจ้าขึ้นมาที่นี่

ข้าพเจ้าตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

รับครูบาเจ้าที่สูงประมาณหนึ่งฟุตมาถือไว้ในมือ

แต่ว่าไม่ได้พูดอะไร

พินิจดูลักษณะ

คนขายบอกว่า  เบิกเนตรแล้วนะคะ

ข้าพเจ้าดูที่ฐาน

อัดดินเหนียวเรียบร้อย

เขาก็นำเสนอครูบาเจ้าแบบนั่ง  ซึ่งมีอยู่เยอะมาก

แปลกแต่จริง

หะแรกข้าพเจ้ามองไม่เห็นครูบาเจ้าองค์ยืนเลย

องค์นั่งก็ไม่เห็น

ทั้งที่มีเยอะมาก

และเขาก็ยังชี้ให้ดูสิ่งนั้นสิ่งนี้

โดยที่(อาจ)ไม่รู้ว่า  ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจไปแล้ว

ข้าพเจ้าก็ปล่อยให้เขาพูดไป  และดูไปเรื่อย ๆ  อีก

จนสุดท้ายก็บอกว่า

เอาองค์นี้แหละ  ครูบาเจ้าองค์ยืนนี่แหละ

เขาก็รีบห่อให้อย่างเรียบร้อย

สองพันบาท

ข้าพเจ้าไม่ต่อรองราคาสักคำ  เพราะขี้เกียจพูด

เสร็จแล้วก็เดินลงมาเพื่อหารถกลับเข้าเมือง

ขึ้นไปนั่งรอบนรถสักพัก

นึกว่าจะไม่มีใครมานั่งด้วยแล้ว

แต่ในที่สุด

ก็

มีคนขึ้นมานั่งด้วยเต็มไปหมด

นับดูเล่น ๆ  เฉพาะที่นั่ง  มีสิบสองคน  รวมข้าพเจ้าด้วย

มียืนห้อยท้ายอีกสอง

นั่งข้างหน้าอีกหนึ่ง

ระหว่างนั่งกลับ

ก็คิดว่า

จะไปสนามบินยังไงดี

ซึ่งจุดนี้นี่เอง

ทำให้เกิดเรื่องราวสุดประทับใจ

ในการไปเชียงใหม่ครั้งนี้

ของข้าพเจ้า


โปรดรอติดตามตอนต่อไป

อิอิ


Arty K
15  01  2558