ถึงดอยสุเทพโดยสวัสดิภาพ
รู้สึกราวกับว่า ระยะทางที่ขึ้นไปนั้น
ไม่ไกลเลย
และดูเหมือนว่า มันใช้เวลาไม่นาน
ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า
แต่ความรู้สึกก็บ่งบอกเช่นนั้น
แทนที่จะรีบขึ้นไปสักการะพระธาตุ
ข้าพเจ้าก็เอ้อระเหยตามนิสัยสันดานเดิม
แวะลงไปกินข้าวซอยที่ร้านตรงลานจอดรถ
ไปฉี่
เดินดูร้านรวงข้าวของ
ก่อนที่จะเดินเลาะเลียบแผงของกินอีกรอบ
อากาศหนาวมาก
มันเพิ่งหนาวขึ้นจากเมื่อสองสามวันก่อน
ลมพัดหวีดหวิว
โชคดีที่มีทั้งผ้าพันคอและเสื้อกันหนาว
กระนั้นก็ตัวสั่นงันงก
นึกอยากกินข้าวโพดปิ้งให้คลายหนาว
แต่ก็ไม่ได้กิน
เดิน ๆ ขึ้นไป ก็หยุดตรงหัวกระไดพญานาค
เอ้อระเหยอีกนิด
ดูผู้คน
ดูสิ่งนั้นสิ่งนี้
ถ่ายรูป ( ด้วยกล้องมือถือ )
สภาพแวดล้อมเหมือนเดิม
แต่คนเยอะมาก
ทั้งที่เวลาก็ใกล้จะห้าโมงเย็นแล้ว
ผู้คนแน่นขนัด
ปกติข้าพเจ้ามาเมื่อหลายปีก่อน และหลาย ๆ ปีก่อน
ไม่ค่อยมีคนนัก
ยิ่งวันปกติเช่นนี้
วันจันทร์เสียด้วย
ไม่น่าจะมีคน
แต่ก็มี
ฝรั่งก็เยอะ
คนจีน เยอะมาก
สมัยก่อน ( อาจจะเมื่อสักสิบปีก่อน )
จำได้ว่า
แทบไม่มีคนเลย
มีก็แต่คนไทย
จะหาต่างชาติทำยานั้นยากมาก
เพราะมีแต่คนไทยเท่านั้นแหละ
ที่นิยมสักการะบูชาเจดีย์
อันนี้พูดในความหมายที่ไม่มีคนลาว หรือคนพม่า มาเกี่ยวข้อง
และหมายถึงในเมืองเชียงใหม่
เอ้อระเหยเสร็จ
ก็เดินขึ้นบันได
เนื่องจากใส่รองเท้าวิ่งมา
จึงเดินได้สบายตีนดีมาก
ไอ้รองเท้าวิ่งนี่มันก็ดีอย่างหนึ่ง
ช่วยให้เราเดินสบาย สะดวก
วิ่งก็สบาย สะดวก
คือดีกว่ารองเท้าชนิดอื่น ถ้าเราเอามาใส่เดิน
ถึงพระธาตุ ก็บูชาดอกไม้
สองดอก ( คือ เผื่อใครสักคนที่ไม่ได้มาด้วย ว่างั้นเถอะ )
เดินรอบเจดีย์สามรอบ
ระหว่างเดินก็ได้ยินภาษาจีน ภาษาเกาหลี ระงมไปหมด
เสียงนับจังหวะถ่ายรูปบ้าง เสียงคุยกันบ้าง
เสียงระฆังบ้าง
แดดกำลังสวย
และข้าพเจ้าก็เจอกับเพื่อนร่วมทาง พ่อ แม่ ลูก ฝรั่ง อีกครั้ง
ซึ่งก็ยังคงไม่ได้ทักทายอีกตามเดิม
เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่คนอัธยาศัยดี
5555
( พระธาตุยามเย็น มีแสงส่องกระทบ สวยมาก )
ไม่ได้เอากล้องเทพไป
ก็จำต้องถ่ายด้วยกล้องมือถือ กาก ๆ
กระนั้นก็ยังสวยอยู่บ้าง
เดินสำรวจรอบ ๆ
ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
ฝั่งชมวิวเมือง เห็นเหล็กแหลม ๆ โผล่มานั่นคือเสาเข็ม
ไม่รู้ว่าจะสร้างอะไร
ความจริงข้าพเจ้าคิดว่า ฝั่งนี้ไม่ควรสร้างอะไรขึ้นมาแล้ว
เพราะมันจะบังวิว
มุมนี้มันสวยโดยธรรมชาติ
น่าเสียดายหากเราจะถ่ายรูปทิวทัศน์ของเมืองเชียงใหม่
แล้วมันมีหลังคา หรือดาดฟ้า หรืออะไรสักอย่าง
เกะกะอยู่ข้างล่าง และติดมาในรูปด้วย
รูปนี้พยายามจัดองค์ประกอบให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะไม่ติดเหล็กสับปะรังเคนั่น
( แต่ก็ยังติดมาอยู่ดี )
เดินรอบ ๆ ทั่วแล้ว ก็เดินลง
ยืนมองยักษ์ท้าวเวสสุวรรณ ตรงประตูทางเข้าแป๊บหนึ่ง
เดินอย่างไม่รีบร้อน
ข้าพเจ้ามีเวลาเหลือเฟือ
ตอนลงก็เพิ่งจะห้าโมงเย็นกว่า ๆ
ได้ยินคนอื่นพูดคุยกันว่า
อุณหภูมิประมาณ 18-19 องศาเซลเซียส
ลงมาก็แวะไปดูพวกพระพุทธรูปที่เขาขาย
ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อหรอก
ของพวกนี้มันดาษดื่นและไม่เป็นที่ดึงดูดสำหรับข้าพเจ้ามานานแล้ว
อีกทั้งลักษณะที่ทำก็ไม่ต้องใจข้าพเจ้า
แต่ในที่สุด
ก็มีเจ้าของร้านเดินมาจนได้
บอกว่า
อยากได้อะไร ดูก่อนนะ ถ้าเอาจะลดให้ในราคาคนไทย
เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนขี้เกรงใจ
ถ้าเขาไม่มาพูดด้วย
ก็คงเดินหนีไปแล้ว
แต่พอเขามาพูดด้วย
จะหนีไปก็เกรงใจ
เลยตัดสินใจดูต่อ
ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจอยู่ดี
คนขายพยายามอธิบายให้ข้าพเจ้าฟัง
องค์นั้นสมัยนั้น องค์นี้สมัยนี้ ศิลปะแบบนั้นแบบนี้
ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจ
ศิลปะพวกนี้ข้าพเจ้าดูมาจนเอียน
เขาก็นำเสนอไปเรื่อย
จนกระทั่ง
อันนี้ครูบาเจ้า องค์ยืน สวยมาก เลยนะคะ
ข้าพเจ้าหันไปมองตาม
สวยจริง ๆ อย่างที่เขาว่า
เป็นทองเหลืองรมดำ
เขาว่า ขายฝรั่งหกพันห้า
พี่ลดให้น้องเหลือสองพัน
ข้าพเจ้าพิจารณาแล้ว
อ๋อ.....สิ่งนี้นี่เอง ที่เรียกร้องข้าพเจ้าขึ้นมาที่นี่
ข้าพเจ้าตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
รับครูบาเจ้าที่สูงประมาณหนึ่งฟุตมาถือไว้ในมือ
แต่ว่าไม่ได้พูดอะไร
พินิจดูลักษณะ
คนขายบอกว่า เบิกเนตรแล้วนะคะ
ข้าพเจ้าดูที่ฐาน
อัดดินเหนียวเรียบร้อย
เขาก็นำเสนอครูบาเจ้าแบบนั่ง ซึ่งมีอยู่เยอะมาก
แปลกแต่จริง
หะแรกข้าพเจ้ามองไม่เห็นครูบาเจ้าองค์ยืนเลย
องค์นั่งก็ไม่เห็น
ทั้งที่มีเยอะมาก
และเขาก็ยังชี้ให้ดูสิ่งนั้นสิ่งนี้
โดยที่(อาจ)ไม่รู้ว่า ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจไปแล้ว
ข้าพเจ้าก็ปล่อยให้เขาพูดไป และดูไปเรื่อย ๆ อีก
จนสุดท้ายก็บอกว่า
เอาองค์นี้แหละ ครูบาเจ้าองค์ยืนนี่แหละ
เขาก็รีบห่อให้อย่างเรียบร้อย
สองพันบาท
ข้าพเจ้าไม่ต่อรองราคาสักคำ เพราะขี้เกียจพูด
เสร็จแล้วก็เดินลงมาเพื่อหารถกลับเข้าเมือง
ขึ้นไปนั่งรอบนรถสักพัก
นึกว่าจะไม่มีใครมานั่งด้วยแล้ว
แต่ในที่สุด
ก็
มีคนขึ้นมานั่งด้วยเต็มไปหมด
นับดูเล่น ๆ เฉพาะที่นั่ง มีสิบสองคน รวมข้าพเจ้าด้วย
มียืนห้อยท้ายอีกสอง
นั่งข้างหน้าอีกหนึ่ง
ระหว่างนั่งกลับ
ก็คิดว่า
จะไปสนามบินยังไงดี
ซึ่งจุดนี้นี่เอง
ทำให้เกิดเรื่องราวสุดประทับใจ
ในการไปเชียงใหม่ครั้งนี้
ของข้าพเจ้า
โปรดรอติดตามตอนต่อไป
อิอิ
Arty K
15 01 2558