ซื้อ E-BOOK

Thumbnail Seller Link
การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง
ธัชชัย ธัญญาวัลย
www.mebmarket.com
คุณจะสำรวจลึกลงไปในสิ่งต่าง ๆ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านถ้อยคำ ที่กรองประกอบขึ้นเป็นหนังสือเล่มนี้ “การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง” กวีนิพนธ์เชิ...
Get it now

ชายไร้สีกับปีแสวงบุญ : ความว่างเปล่าเหลือจะทนของชีวิต ( 3 )


วันนี้มาเร็วกว่าเมื่อวาน  ( มาก ๆ  5555 )

ต้องออกตัวอีกตามเคยว่าที่จะเล่าต่อไปนี้สปอร์ตนะครัช  ( สปอยล์!!!  T_T เลิกเล่นเหอะมุกนี้ )

ขี่ม้าเลียบค่ายมาหลายวัน

วันนี้น่าจะเข้าประเด็นได้แล้ว

สาเหตุที่ต้องพูดถึงบุคลิกของ  ทสึคุรุ  หรือแม้กระทั่งบุคลิกของตัวละครต่าง ๆ

ในวรรณกรรมญี่ปุ่น  ก็เพื่อจะโม้  เอ้ย!  ปูพื้นฐานว่า

ทำไมการเป็น  "ชายไร้สี"  มันจึงสลักสำคัญนัก

หรือทำไมมันถึงได้เป็นประเด็นขนาดต้องเอามาเขียนนิยายได้เป็นเล่ม ๆ

คือเราต้องเข้าใจก่อนว่า  "การมีสี"  นั้น  มันไม่ได้หมายถึงแค่  "การมีสี"

แต่มันหมายถึงการมีอัตลักษณ์  หรือ  มีตัวตน  หรือ  มีที่เหยียบยืน  ในสังคม

แม้ในสังคมเล็ก ๆ  หรือ  สังคมใหญ่ ๆ  ก็ตาม

มันเหมือนกับเด็ก ๆ  ที่เวลาดูการ์ตูน  แล้วก็จะแทนตัวเองเป็นตัวนั้นตัวนี้

สมมติเราดูขบวนการห้าสีเนี่ย  เราต้องนึกแล้วว่า  เราอยากเป็นสีไหน

และเพื่อนของเราอยากเป็นสีไหน

สีไหนมีอัตลักษณ์หรือมีเอกลักษณ์อย่างไร

ในทำนองเดียวกัน

ทสึคุรุ  ทะซากิ  ซึ่งเป็นบุคคลไร้สี  คือไม่มีสีจริง ๆ  ( ในความคิดของเขา )

เพราะเพื่อนอีกสี่คนนั้น  มีสีกันหมด

คำว่า  มีสี  หมายถึง  นามสกุล  ของเพื่อนทั้งสี่นั้น  จะปรากฏชื่อสีอยู่

แล้วสีเหล่านั้นก็เข้ากับบุคลิกของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี

"ผู้ชายสองคนนามสกุล  อะกามัตสึ  กับโอะอุมิ  

นามสกุลของผู้หญิงสองคนคือ  ชิราเนะ  และ  คุโรโนะ"

อะกา = แดง

โอะอุ  = น้ำเงิน

ชิรา (ชิโระ) = ขาว

คุโร  = ดำ

เวลาอยู่ด้วยกันพวกเขาก็จะเรียกชื่อกันด้วยสี  คือ  เรียกกัน  แดง  น้ำเงิน  ขาว  ดำ

มีเพียง  ทสึคุรุ  เท่านั้น  ที่ถูกเรียกว่า  ทสึคุรุ

"ทสึคุรุเฝ้าคิดอยู่เรื่อยว่า  หากนามสกุลของตนมีสีอยู่ด้วยจะดีสักเพียงใด  

ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็  ทุกอย่างคงสมบูรณ์แบบ"  - - หน้า  11


การรวมกลุ่มกันนี้  เป็นกลุ่มเพื่อนมัธยม  คือ  มัธยมปลาย  ทั้งหมดเป็นลูกชนชั้นกลางค่อนไปทางสูง

ที่เมืืองนาโงยะ

กลุ่มของพวกเขาจะไปทำกิจกรรมอาสาสมัคร  และได้ลงข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นบ้างตามสมควร

นอกจากกิจกรรมอาสาสมัครแล้ว  พวกเขาก็ไปเที่ยวด้วยกัน  ไปว่ายน้ำ  ไปรวมตัวที่บ้านของใครสักคน

พูดคุยกันอย่างเปิดอก  แชร์ความรู้สึกต่าง ๆ  ร่วมกัน

เรียกง่าย ๆ  ว่า  เป็นกลุ่มที่สนิทสนมกันมาก

ทุกคนมีบุคลิกเป็นของตัวเองชัดเจน


เหตุการณ์ผิดปกติเริ่มเกิดขึ้นเมื่อ  ทสึคุรุ  เลือกที่จะไปเรียนโตเกียว

แทนที่จะเรียนที่นาโงยะ  เหมือนเพื่อน ๆ  ทั้ง  4

เพราะเขาเป็นคนชอบ  "สถานีรถไฟ"  คือ  ชอบมอง  ชอบดู  และอยากสร้างสถานีรถไฟ

อีกนัยหนึ่ง  เขาก็คิดว่า  เขาควรต้องสร้างอะไรสักอย่างหนึ่งด้วย  เพราะ  ชื่อของเขา

ทสึคุรุ  แปลว่า  การสร้าง  หรือ  ประดิษฐ์

ความจริง  นอกจากเพื่อน ๆ  แล้ว  คนอื่นที่เข้ามาในชีวิตของเขา  ก็ล้วนแล้วแต่มีสีทั้งสิ้น

เช่น  ไฮดะ  ฟุมิอากิ  ( ไฮอิโระ = เทา )  หรือ  มิโดริคาวะ  ( มิโดริ = เขียว )


นอกจากกลุ่มเพื่อนห้าคนแล้ว  ทสึคุรุ  ก็ไม่ได้มีเพื่อนที่ไหนอีก  เรียกง่าย ๆ  ว่า

คนทั้งห้านี้  มีโลกส่วนตัวของพวกเขา  ทำอะไรด้วยกันเฉพาะพวกเขา  ไม่ยุ่งเกี่ยวสุงสิงกับชาวบ้านอื่น

กลุ่มมีข้อกำหนดที่ทุกคนรู้กันในกลุ่มโดยที่ไม่ได้ตั้งอย่างเป็นทางการหลายอย่าง

เช่น  ทำอะไรต้องทำด้วยกันทั้งห้าคน  หรือความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างเพื่อนในกลุ่มเป็นสิ่งต้องห้าม

เป็นต้น


เมื่อทสึคุรุไปเรียนโตเกียว  เขาก็ยังคงกลับบ้านเพื่อสังสรรค์กับเพื่อน ๆ  เหมือนเดิม

เขาเขียนจดหมายถึงเพื่อน ๆ  ( แทนที่จะใช้อีเมลเพราะขาวใช้คอมพิวเตอร์ไม่ค่อยเป็น )

เพื่อน ๆ  ก็จะเวียนกันอ่าน  แล้ว  ทุกคนก็เขียนจดหมายหาเขา

คือเขียนร่วมกัน  4  คน  เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่เขาไม่อยู่

หรืออะไรทำนองนี้  เรียกง่าย ๆ  ว่า  แม้จะห่างไกลกัน  แต่ความสัมพันธ์ยังเหมือนเดิม

เมื่อ  ทสึคุรุ  กลับบ้าน  ทุกคนก็ให้การต้อนรับประหนึ่งว่า  เขาไม่เคยจากไปไหนเลย

แล้วก็ไปไหนต่อไหนด้วยกันเหมือนเดิมที่เคยทำ

เรียกง่าย ๆ  ว่า  เป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและอบอุ่นอย่างยิ่ง

กระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง  ตอนที่เขาอยู่มหาวิทยาลัยปีสอง  ช่วงปิดเทอมฤดูร้อน

เขาก็เก็บของกลับบ้านตามปกติ

และเมื่อไปถึงบ้าน  เขาก็โทรศัพท์หาเพื่อน  แต่ไม่มีใครรับสายเลย

หรือไม่ก็มีญาติ ๆ  ของเพื่อนรับสาย  เขาก็ฝากข้อความให้โทรกลับ

แต่ก็ไม่มีใครโทรกลับ  เขารอโทรศัพท์ไปเรื่อย ๆ  แต่ไม่มีใครโทรกลับ

ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว  โทรไปใหม่อีกหลายรอบ  แต่คนในครอบครัวเพื่อน ๆ

ก็บอกด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า  พวกเขาไม่อยู่บ้าน  แค่นั้น

จนในที่สุดน้ำเงิน  ก็โทรมาบอกว่า  ไม่ต้องโทรหาทุกคนอีกแล้ว

เมื่อทสึคุรุถามหาเหตุผล  ก็ได้รับคำตอบเพียงว่า  "ถามตัวเองดูสิ"

อะไรทำนองนี้

และ  ทสึคุรุ  ก็ไม่ได้สืบสาวต่อ  ว่าเกิดอะไรขึ้น  ทุกคนจึงพร้อมใจกัน

อัปเปหิ  เขาออกจากกลุ่ม

จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานถึง  สิบหกปี  เมื่อเขาเจอสาละ

เขาเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้สาละฟัง  ( เขาไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย )

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  ทสึคุรุ  ใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวด

อยู่กับปากปล่องของความตาย  ที่เขาบอกว่า  ถ้าขยับตัวเมื่อไหร่

ก็พร้อมจะตกลงไปในหุบเหวอันมืดดำนั้นได้ทุกเมื่อ

เขาไม่มีเพื่อนสนิทในโตเกียว  มีแฟนชั่วระยะเวลาสั้น ๆ  แล้วก็เลิกกันไป

เพื่อนที่เขามีเพียงคนเดียวก็ออกจะประหลาด  คือ  ไฮดะ

เป็นคนที่เข้ามาแบบผ่าน ๆ  เพื่อเล่าเรื่องประหลาดให้เขาฟังเท่านั้น

และเมื่อทสึคุรุเริ่มรู้สึกผูกพันกับไฮดะ  ก็มีอันว่า  ไฮดะ  ตีตัวออกจากเขาไป

จุดนี้เองที่น่าจะทำให้เขากลายเป็นคน  "ไม่เชื่อใจในความสัมพันธ์"

( ความจริงก็คงเป็นมาตั้งแต่โดนเพื่อนทิ้ง  และถูกตรงนี้ตอกย้ำอีกที )

เก็บตัวเงียบในโลกส่วนตัว  ไม่คบหาใคร

จมจ่อมอยู่กับความความตาย  ความว่างเปล่า  และเงาของอดีตที่กรีดเชือดอยู่เสมอ

ใช้ชีวิตผ่านไปวัน ๆ  อย่างไม่อินังขังขอบ  ไร้จุดหมายปลายทาง


สาละเป็นคนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิต  อายุมากกว่าทสึคุรุประมาณ  2  ปี

คือ  ถ้า  ทสึคุรุ  อายุ  36  สาละ  ก็น่าจะอายุประมาณ  38

โดยนิสัยแล้ว  ทสึคุรุ  ชอบสาละ  มาก  เพราะเขาชอบผู้หญิงที่อายุมากกว่า

เขามีพี่สาว  จึงมีปมเรื่องชอบคนอายุมากกว่า

และเมื่อเกิดเหตุการณ์  "อ่อน"  จนไม่สามารถทำอะไรร่วมกับ  สาละได้

เขาจึงกระวนกระวายอย่างที่สุด

จนเป็นเหตุให้ต้อง  ออกตามล่าหาเพื่อนทั้ง  4   โดยความช่วยเหลือของสาละ

ทั้งนี้  ข้าพเจ้าคิดเอาเองว่า  ทสึคุรุ  คงถึงจุดอับจนที่สุดแล้ว

อ้างว้างที่สุดแล้ว  และหากต้องเสียใครสักคนที่เขาไว้ใจ

หรือพร้อมจะเข้าใจเขาไป

เขาคงต้องตายเป็นแน่

ซึ่งจุดนี้ก็น่าแปลกใจเหมือนกันว่า

ที่ผ่านมา  เขามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร  ท่ามกลางความโดดเดี่ยวและเจ็บปวด

จากอดีตที่กรีดเชือดเขาอยู่เสมอทุกเชื่อวัน

อดีตที่เป็นปัจจุบันของเขาเสมอ  เขาไม่เคยลบมันออกไปจากใจได้เลย

ภาวะที่ถูกเพื่อนทิ้งโดยไม่รู้สาเหตุ  ทำร้ายทสึคุรุทุกลมหายใจเข้าออก

มันเลวร้ายถึงขนาดนั้น




ความจริง   ข้าพเจ้าอาจจะอินกับ  ทสึคุรุ  มากไปหน่อย  คงเป็นเพราะว่า

ข้าพเจ้ามีบุคลิกบางอย่างคล้ายทสึคุรุก็ได้

คือเป็นคนไม่ค่อยอินังขังขอบ  ไม่ชอบแก้ตัว  ไม่สืบค้น

หากมีอะไรเกิดขึ้นก็ปล่อยให้มันผ่านไปเรื่อย ๆ

หากใครจะนินทาว่าร้ายหรือไม่พอใจที่จะคบหา

ก็ปล่อยไปเรื่อย ๆ

ใครอยากว่าอะไรก็ว่า  อยากด่าอะไรก็ปล่อยให้เขาด่า

ไม่ได้ใส่ใจในคำด่า

ไม่ใส่ใจในความเข้าใจผิดของผู้อื่น

ปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิด  หรือ  เข้าใจตามที่เขาอยากเข้าใจ

ชอบอยู่คนเดียว  ครุ่นคิดเกี่ยวกับความตายและเรื่องประหลาด ๆ

มีเพื่อนสนิทน้อยแต่เข้าใจกันลึกซึ้ง  ไม่สุงสิงกับชาวบ้าน

ดูเหมือนไม่แคร์ในความสัมพันธ์  หรือใส่ใจในปฏิกิริยาของสังคม

ทั้งที่ความเป็นจริง  ก็ใส่ใจอยู่บ้าง  และหลาย ๆ  ครั้งก็เจ็บปวด

แต่เก็บความเจ็บปวดนั้นเอาไว้เพียงลำพัง

ไม่บอกเล่า  หรือเอื้อนเอ่ย  เพราะไม่ไว้เนื้อเชื่อใจคนอื่น

จนกระทั่งวันหนึ่ง  นึกอยากจะรู้ความจริงขึ้นมา

หรืออยากเปิดเผยอะไรขึ้นมา

ก็ค่อย ๆ  เลาะเลียบไปตามริมแม่น้ำของอดีต  ซึ่งต่างจากทสึคุรุ  คือ

เขาจู่โจมเข้าไปหามัน  ทั้งที่รู้ว่าเต็มอกจะต้องเจ็บปวดกับความจริงขนาดไหน

ทั้งนี้  อาจเป็นเพราะ  ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องมีใครให้ทำเพื่อ

จึงไม่ต้องโจนทะยานถึงขนาดนั้น

หรือบางที  เรื่องราวในอดีตอาจจะถูกกำจัดออกไปเรื่อย ๆ  ไม่ได้เก็บเอาไว้อย่างเต็มที่

เหมือนอย่างทสึคุรุ

หรืออีกประการหนึ่ง  คือ  ข้าพเจ้าอาจมีสิ่งยึดเหนี่ยวที่สามารถช่วยขจัดอดีตอันเลวร้ายออกไปได้

ตลอดระยะเวลา  หรือตลอดระยะทางของเวลาที่ผ่านมา  ก็เป็นได้


ทุกคนต่างมีอดีตที่เจ็บปวด

ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า

จะสามารถขจัดมันไปออกไปได้หรือไม่

หรือด้วยวิธีใด

วิธีการของทสึคุรุ  คือ  กระโจนเข้าไปหามัน  เพื่อค้นหา  "ความจริง"

ซึ่งเมื่อค้นพบแล้ว  หรือทำความเข้าใจกับมันได้แล้ว

สิ่งที่ค้างคา  หรือความเจ็บปวดที่มีอยู่  ก็ย่อมมลายหายไปโดยธรรมชาติ


มีฉากโรแมนติกมาก ๆ  ของเรื่องนี้  ที่ข้าพเจ้าอยากบอกเล่า

รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับ  "ปีแสวงบุญ"

แต่ก็อย่างว่า

วันนี้ข้าพเจ้าก็...  ขี้เกียจเสียแล้ว

และข้าพเจ้า  ก็คงไม่สัญญา ( เหมือนดังคราวก่อน ๆ --ที่มักจะสัญญา ) ว่า

เราจะได้พบกันอีก



Arty K
22  12  2014