ซื้อ E-BOOK

Thumbnail Seller Link
การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง
ธัชชัย ธัญญาวัลย
www.mebmarket.com
คุณจะสำรวจลึกลงไปในสิ่งต่าง ๆ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านถ้อยคำ ที่กรองประกอบขึ้นเป็นหนังสือเล่มนี้ “การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง” กวีนิพนธ์เชิ...
Get it now

พิฆเนศ มหาภารตะ และการโคลนนิ่ง


พระพิฆเนศ  นี้

ข้าพเจ้าได้ซื้อมาตั้งแต่เกือบสามปีก่อน

ความจริงข้าพเจ้ามีพระคเณศวร์  หลายองค์

หลายปาง

แต่ข้าพเจ้าชอบปางนี้ที่สุด

คือพระคเณศวร์เขียนหนังสือ

เพราะทำให้นึกไปถึง

มหากาพย์เรื่อง  มหาภารตะ

อนึ่ง

ข้าพเจ้าเอามาเตือนตัวเองให้เขียนหนังสือ

ไม่เช่นนั้นจะอายท่านพระคเณศวร์ได้

555

แท้แล้ว

ข้าพเจ้าชอบแสวงหาของแปลก ๆ  

อย่างยิ่ง

อย่างเช่นปางที่มีงาทั้งสองข้าง

ก็ได้มา

คือพระคเณศวร์นี้

ใคร ๆ  ก็รู้ว่ามีงาข้างเดียว

และที่หัวเป็นหัวช้างก็เพราะว่า

ถูกพระศิวะ  เอาจักรตัดหัว

แล้วหาหัวเดิมไม่เจอ

ก็เลยเอาหัวช้างมาใส่แทน




การที่ข้าพเจ้ามีพระคเณศวร์นี้

จะหาว่าข้าพเจ้าเป็นฮินดู

เป็นเดียรถีย์

ไปนับถือบูชาเทพฝ่ายพราหมณ์

อย่างนี้ก็หาไม่

หากแต่ข้าพเจ้าชื่นชอบของจำพวกนี้เท่านั้น

คือพวกเครื่องแก้ว  เครื่องไม้  เครื่องหิน

เครื่องเงินเครื่องทอง  หรืออะไรต่อมิอะไร

ถ้าเห็นเป็นไม่ได้

มีเงินเท่าไหร่

ก็อาจจะหมด

พอเห็นของเหล่านี้

มักได้ปรี่เข้าหาประจำเลยทีเดียว



สถานที่ซึ่งข้าพเจ้าไม่ควรไปบ่อย

ก็คือสถานที่ขายของจำพวกนี้

วันหนึ่งข้าพเจ้าไปได้พระพุทธรูปงามมากมาองค์หนึ่ง

ที่ข้าวสาร

คนขายเขาพลั้งปากออกมาว่าแปดพัน

ข้าพเจ้ารีบตกลงก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจ

เพราะป้ายราคาเขียนว่า

หมื่นสอง

ไอ้คนขายคนนี้ก็เลยโดนแม่ด่าเสียฉิบ

โทษฐานไม่ดูให้ดี

จะมาบอกเปลี่ยนราคาก็ไม่ได้

เพราะพูดออกมาแล้ว


แฟนข้าพเจ้ารู้ดีเรื่องอย่างนี้

เห็นจะเริ่มควักเงินเมื่อไหร่

เป็นต้องหาเรื่องมาปราม

หรือลากหนีทุกที

555

เคยงอนเพราะซื้อของอย่างนี้มากเกินไปมาแล้วหลายครั้ง


สมัยหนึ่งข้าพเจ้าบ้าพลอยตาเสือมาก

เห็นที่ไหนเป็นต้องควักเงินควักทอง

บางชิ้นมันงามมากจริง ๆ  

แต่ยังไม่มีเงินซื้อ

ก็เทียวไปดูของเขาทุกวัน

ไปดูจนเขาจำได้

พอมีเงินแล้วก็ซื้อมา

อันนี้เป็นกิเลสตัณหาอย่างหนึ่งของข้าพเจ้า

ที่ละออกไปได้ยาก


ต้นไม้อีกหนึ่ง

ถ้าข้าพเจ้าเห็นต้นไม้งาม ๆ  

หรือแปลกหูแปลกตาที่ไหน

เป็นต้องไปคอยด้อม ๆ  มอง ๆ  

ไปจดไปจ้อง

อยากจะได้อยู่ร่ำไป



ถ้าพูดในเชิงสัญลักษณ์

แบบปราชญ์สมัยหนึ่ง

เขาก็ว่า

พิฆเนศนี้

ที่รูปร่างอ้วน  หมายถึง  ความอุดมสมบูรณ์

หัวช้าง  หมายถึง  มีปัญญามาก

(บางคนบอกให้เรียกหัวว่าเศียร  แต่ข้าพเจ้าอยากลามปามเรียกว่า  หัว)

ตาเล็ก  หมายถึง  ละเอียดถี่ถ้วน  สามารถแยกแยะชั่วดีได้

หูและจมูกใหญ่  หมายถึง  มีสัมผัสที่ดีเลิศ

(ถ้าถือความตามหลักโหวงเฮ้งไทย  หูใหญ่  คือเป็นพหูสูตร)

มีหนูเป็นสหาย  บ้างก็ว่า  มีหนูเป็นพาหนะ

(พาหนะ  นะ  ไม่ใช่  พาหะ  เฉย ๆ  อิอิ)

แถมหนูนั้นยังหมายถึงการมีสติปัญญารวดเร็ว 

 พลุ่งพล่าน  ความคิดฉับไวอีกต่างหาก


อันนี้ก็ว่ากันไป

ทีนี้ว่าถึงเรื่องพิฆเนศที่เกี่ยวกับเรื่องมหาภารตะ

ความจริงมหาภารตะนี้

ข้าพเจ้าเห็นว่า  สนุกสนานกว่า  รามายณะ  มาก

แต่เนื่องจากเนื้อหาไม่ค่อยออกแนวรับใช้ราชสำนักฝ่ายไทย

เรื่องมหาภารตะ  ก็เลย  ไม่เป็นที่นิยมในเมืองไทย

ความจริงจะเรียกว่า  ไม่เป็นที่นิยมของราชสำนักไทยก็ถูกกว่า

เพราะพอไม่เป็นที่นิยมในราชสำนัก

ก็ไม่ตกเป็น  "วรรณคดีของไทย"  

และไม่อยู่ในสายของ  "ศิลปะ  วัฒนธรรมไทย"

ก็จะไม่ได้อยู่ในความนิยมของคนไทย  ในที่สุด


มหาภารตะนั้นสนุกว่ารามเกียรติ์มาก

ในความคิดเห็นของข้าพเจ้า

และที่ไม่ถูกจริตของราชสำนักไทย

ก็คงเป็นเพราะว่า

มันเป็นเรื่องราวของศึกสายเลือด

ของพี่น้องสองตระกูล

ที่มีพ่อคนเดียวกันนั้นกระมัง

ซึ่งหากปลูกฝังเรื่องอย่างนี้ในราชสำนักแล้ว

ความสงบย่อมมีอยู่ไม่ได้

สู้ให้กษัตริย์เป็นพระรามฆ่ายักษ์แต่ฝ่ายเดียว

จะสะดวกแก่การปกครองอาณาจักรมากกว่า

คือก็ให้ตัวเองเป็นพระรามเสีย

ส่วนที่เหลือทั้งหมด

ก็ให้เป็นยักษ์เป็นมารไป

ดูมีเหตุมีผลหากจะต้องทำสงครามกับพวกยักษ์ที่ชั่วร้าย

เป็นสงครามปราบความชั่วตามแบบขนบ

และเป็นที่นิมยมชมชอบของผู้คน

ที่ต่างสถาปนาตนเป็นคนดีอยู่แล้ว



อันมหากาพย์เรื่อง  มหาภารตะ  นั้น

ได้ชื่อว่า

ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์

ว่ากันว่า  ยาวกว่า  อีเลียดและโอดิสซีย์รวมกันถึงแปดเท่า

ยาวกว่าไบเบิ้ล  สามเท่า

อนึ่งคำว่า  ภารตะ  นี้  หมายความถึงประเทศอินเดียได้ด้วย

บางครั้งก็มีผู้ตีความไปว่า

มหาภารตะ  ก็คือ  เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย


ที่นี้ตามประวัติเขาก็ว่า

เรื่องนี้เล่าโดยฤาษีตนหนึ่ง

ชื่อ  กฤษณะ ไทวยาปายนะ  วยาสะ

ฤาษีนี่แกก็เชิญพระคเณศวร์มาจดบันทึก

ท่านคเณศวร์ก็รับคำ

แต่มีข้อแม้ว่า

ต้องเล่าไปเรื่อย ๆ  นะ  ห้ามหยุด

หยุดเล่าเมื่อไหร่

ตาย


และแท้แล้วฤาษีนี่แกก็เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนั่นแหละ

ตะแกเล่าเรื่องนี้ด้วยเพราะรันทดสลดใจที่เห็นลูกหลานฆ่ากันเอง

ก็เลยเล่าไว้ให้พระคเณศวร์จดบันทึก



มีหลายเรื่องที่น่าสนใจในเรื่องนี้

เอาคร่าว ๆ  เล่าเล่น ๆ 

อย่างเรื่องโคลนนิ่งมนุษย์ที่เขายึก ๆ  ยัก ๆ  กันอยู่

เรื่องแบบนี้มันมีมานานตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว

กล่าวคือ  ท้าวธฤตราษฎร์  ซึ่งเป็นกษัตริย์ตาบอด  

สาเหตุที่ตาบอดนี่ก็ต้องเท้าความกันตั้งแต่แม่ของท่าน

ซึ่งก็คือชายาองค์ที่ ๑  ของฤาษีวสายะ

วสายะนั้นบำเพ็ญตนเคร่งครัด

แต่เนื่องด้วยไม่มีใครจะแต่งงานเพื่อให้มีโอรสสืบราชสมบัติ

ท่านวสายะก็เลยต้องทำ  ทั้งที่บำเพ็ญตนอยู่

และจากการบำเพ็ญตนนี้  ท่านก็มีเนื้อตัวสกปรกซกมกโสโครกและเหม็นเน่า

ธิดาสององค์ที่ให้มาเป็นชายานั้น

องค์แรกหลับตาเสียเมื่อเห็นวสายะ  ลูกเกิดมาจึงตาบอดซึ่งก็คือ

ท้าวธฤตราษฎร์นี่เอง

ส่วนอีกองค์หนึ่ง  ผิวซีดเมื่อวสายะสัมผัสกาย

โอรสที่เกิดจึงผิวซีด  ชื่อว่า  ปาณฑุ

คราวนี้ก็มาถึงเรื่องที่ต้องครองราชย์

เนื่องจากเจ้าชายองค์โตตาบอด

เจ้าชายปาณฑุจึงได้ครองราช

แต่ระหว่างที่เป็นกษัตริย์นั้น

ไปล่าสัตว์  ได้ยิงละมั่งคู่หนึ่งซึ่งกำลังผสมพันธ์ุกันอยู่

และละมั่งนั้นแท้แล้วเป็นพราหมณ์จำแลงกายมา

ละมั่งพราหมณ์จึงสาปแช่งท่านปาณฑุว่า

หากเมื่อใดมึงร่วมประเวณีกับมเหสีองค์ใดองค์หนึ่งในจำนวนสององค์

ก็ขอให้มึงจงดับดิ้นสิ้นชีวิตเสียเถิด

ท่านปาณฑุเห็นดังนั้น

จึงคิดว่า  คงเป็นกษัตริย์ต่อไปไม่ได้

จึงสละราชบัลลังก์ให้พี่ชายเสีย

แล้วหนีไปอยู่ป่ากับมเหสี

แต่เมื่ออยู่ในป่าแล้ว  ก็หาเรื่องมีลูกจนได้

(ไม่งั้นก็ไม่มีสงครามเกิดขึ้นในเรื่องเป็นแน่ถ้าไม่มีลูกของฝ่ายปาณฑุ)

ละความตรงนี้เอาไว้แต่เท่านี้

ตัดมาที่กษัตริย์ผู้พี่

คือท้าวธฤตราษฎร์  เมื่อเป็นกษัตริย์แล้วก็อ่อนแอปกครองบ้านเมืิองไม่ได้

และเป็นเหตุให้เกิดหลาย ๆ  อย่างขึ้นอีกต่อไป

ซึ่งขอละความตรงนี้ไว้อีก

555

เข้าประเด็นเลยก็คือว่า

แม้จะตาบอดท่านก็มีมเหสีองค์หนึ่ง

ที่ถูกจับให้มาแต่งงาน

ทีนี้พอมเหสีรู้ว่าพระสวามีพระเนตรบอด

ก็เลยเอาผ้าดำผูกตาตัวเองด้วยและไม่ยอมเอาออกอีกเลย

เรียกง่าย ๆ  ว่า  เธอบอดฉันก็จะบอดเหมือนเธอ  ว่างั้นเหอะ

อันนี้เป็นความจงรักภักดีของพระนาง

ต่อมาพระนางก็ตั้งครรภ์

แต่ครรภ์นั้นผิดปกติอย่างยิ่ง

คือสองปีก็ยังไม่คลอด

ครั้นพอคลอดออกมา

ก็เป็นก้อนเนื้อกลม ๆ  ก้อนหนึ่ง

ท่านวยาสะก็เลยบอกให้แบ่งก้อนเนื้อนั้นออกเป็นร้อยชิ้น

แล้วเอาไปใส่ไว้ในโอ่งน้ำมันเนย

ทั้งร้อยชิ้นนั้นก็ได้กลายมาเป็นโอรสร้อยองค์

ซึ่งก็จะทำศึกสงครามกันต่อไป


อันนี้ก็เป็นโคลนนิ่งในสมัยก่อน

ขอเล่าไว้แต่เท่านี้

ท่านใดอยากอ่านต่อ

หรืออยากรู้ว่า

มหาภารตะเริ่มยังไงและจบลงที่ใด

ก็ไปแสวงหาอ่านเองเถิด

หึหึ



อาร์ตี้  ด้วยรักสนิท
๒๔  เมษายน  ๒๕๕๖


ไม่มีความคิดเห็น: