เหงาหม่นหมองและมองหา
ความอบอุ่นความสุขอยู่เรื่อยมา
จนลืมคิดไปว่ามีความทุกข์
ได้แต่ภาวนาไม่ให้น้ำท่วม
ณ บริเวณพื้นที่อยู่อาศัย
เมื่อเช้าซื้อดอกไม้
แม่ค้าถาม คิดว่าน้ำจะท่วมมาถึงอโศกมั้ยคะ
ข้าพเจ้ายิ้มตอบ
และบอกว่า
คงจะไม่
ความอบอุ่นและที่พึ่งของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน
แต่ตามธรรมชาติเราล้วนมีกรรมเป็นที่พึ่ง
ดังบทพิจารณาสังขารว่า
กมฺมปฏิสรณา
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ที่พึ่งอาศัยนี้หมายเอากรรมดีเป็นที่พึ่ง
ข้าพเจ้านึกถึงความกลัวเมื่อครั้งนานมาแล้ว
ข้าพเจ้านึกถึงว่า
ตัวเองนั้นผ่านความกลัวมาได้อย่างไร
ขั้นต้นข้าพเจ้าหมายเอาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง คิดถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ก็หายกลัวได้
หากยังไม่หาย
ก็พิจารณาถึงความตาย ว่าเราล้วนต้องตาย
ได้ทำความดีมากี่มากน้อย เมื่อพิจารณาถึงความดีว่าได้กระทำมาแล้วไม่มีที่ขัดใจ พร้อมตายได้ ความกลัวก็หายไป
เพราะอย่างดีก็แค่ตาย พร้อมตายเมื่อไหร่ก็หายกลัวได้เมื่อนั้น
หากพิจารณาแล้วยังไม่หายกลัว ก็พิจารณาดูที่ความกลัวนั้น ทวนกระแสเข้าหาเหตุแห่งความกลัว ถึงที่สุดแล้วก็หายได้
น้ำท่วมนี่ปัญหาเยอะแยะ
ทั้งปัญหาส่วนตัว ส่วนรวม ปัญหาจุกจิก
ปัญหาของเรา ปัญหาที่คนอื่นนำมาให้
น้ำยังไม่ท่วมก็เป็นปัญหา
ท่วมขึ้นมาก็เป็นปัญหา
ข้าพเจ้านึกไปถึงครั้งพระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์
ทรมานอุรุเวลกัสสปะ
(ในตำรานั้นว่าทรงแสดงปาฏิหาริย์ถึง สามพันห้าร้อย กว่าจะทำให้อุรุเวลกัสสปะนอบน้อมได้)
มีอยู่ปาฏิหาริย์หนึ่งคือตอนน้ำท่วม
พระพุทธองค์จงกรมอยู่น้ำไม่ท่วมบริเวณนั้นเลย
มีนักประหลาดขี้เท่อหลายคนให้ความเห็นไปต่าง ๆ นานา
ว่าพระพุทธเจ้าอยู่เรือบ้างหละ อยู่ที่สูงน้ำท่วมไม่ถึงบ้างหละ
โดยพยายามจะตัดส่วนปาฏิหาริย์ออกเพื่อให้เข้ากับชุดความคิดของตนและความเชื่อของนุษย์ในปัจจุบันสมัยบางส่วน
ทั้งที่พระพุทธเจ้านั้นอย่าว่าแต่ปาฏิหาริย์แค่นี้เลย
มากกว่านี้ก็ยังได้
เราต้องนึกถึงคนที่บำเพ็ญบารมีมายี่สิบอสงไขยแสนมหากัป
นับเอาแต่ได้พยากรณ์ก็สี่อสงไขยแสนมหากัป
ยอมเสียสละทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตตัวเอง
จะแสดงปาฏิหาริย์ได้ในชาติสุดท้ายจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เพราะแม้กระทั่งชาติก่อน ๆ ก็เคยแสดงได้มาแล้ว
มากบ้างน้อยบ้างตามกำลัง
Arty House
7 11 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น