พูดเรื่องเทศกาลกันต่อ
คราวก่อนพูดแล้วยังไม่แคล้วขึ้นป่าขึ้นดอย
หนำซ้ำเรื่องตัดผมก็ยังไม่ได้พูด
นึกถึงเรื่องเทศกาลแล้วทำให้นึกไปถึงเรื่องวันหยุด
ความจริงแล้วการหยุดวันเสาร์ อาทิตย์ เป็นวันหยุดจริง ๆ ตามวัฒนธรรมเราหรือไม่
เรารับการหยุดเสาร์ อาทิตย์มาจากฝรั่ง
ฝรั่งนับถือคริสต์ หยุดวันอาทิตย์เขาก็ได้ไปโบสถ์
บำเพ็ญกิจกรรมทางศาสนา
ความจริงของเราหยุดวันไหนเราก็ไปวัดได้ เพราะวัดเราไม่ได้จำกัด
แต่จะเอาให้จริงแล้ว เราก็ควรหยุดวันพระวันโกน
เดี๋ยวนี้คนไทยไม่รู้จักวันพระวันโกนกันเสียแล้ว
และไม่รู้ว่ามีความสำคัญยังไงเสียด้วย นอกจากรู้ว่าเป็นวันพระจันทร์ครึ่งดวง วันพระจันทร์เต็มดวง กับวันพระจันทร์ดับ
ไทยโบราณไม่ได้นับวันตามสุริยคติ แต่นับเอาตามจันทรคติ
วันพระสมัยก่อนเขาก็จะถือศีลอุโบสถกัน คือ นอกจากห้าข้อแล้วก็ต้อง ไม่เสพกาม ไม่ใช้ของหอมเครื่องย้อมเครื่องทัดเครื่องทา ไม่ดูการละเล่น ไม่นอนบนที่นอนสูงใหญ่ งดบริโภคในยามวิกาล
ความจริงสมัยนี้ก็คงมีคนทำ แต่ทำได้ไม่สะดวก เพราะมันดันตรงกับวันทำงาน งานก็ต้องทำศีลก็ต้องถือ มันก็เลยห่อเหี่ยวใจ แต่ถ้าได้หยุดแล้วทำเสียหน่อยคงจะดีกว่า
แล้วทำไมต้องทำวันพระ เพราะความเชื่อคือวันพระจตุโลกบาลจะมาตรวจโลกว่าใครทำความดีความชั่วอันใดบ้าง ว่างั้นเหอะ แนว ๆ ก็คือ ทำดีเอาหน้า ให้เทวดาเขาเห็นหน่อยว่าฉันนี่แหละถือศีลวันพระ ซึ่งก็คงดีกว่าไม่ถือเลยซักวัน แต่จะเอาเข้าจริงตามหลักธรรมชาติถือวันไหนก็ได้ แต่ก็อย่างว่า วันพระนั้นแลดูสำคัญ เพราะพระท่านก็ลงอุโบสถวันพระ ทั้งนี้ด้วยเพราะวันพระนั้นดูง่าย สมัยโบราณไม่มีปฏิทิน พระอยู่ตามป่าตามเขาก็อาศัยดูพระจันทร์เป็นหลักว่า เออ นี่จันทร์เต็มแล้ว จันทร์แรมแล้ว จันรท์ครึ่งแล้ว ก็มาประชุมกัน ตามหลักว่าต้องหมั่นประชุมเพื่อความอยู่ยงคงค่าสถาพรของสงฆ์นั่นเอง
ทีนี้เราจะมาบอกว่าเด็กรุ่นใหม่ไม่สนใจวัดมันก็พูดยากเพราะพ่อแม่มันก็ไม่สนใจ ที่ไม่สนใจเพราะปู่ย่ามันดันพาเข้าพงแล้วไม่พาออก อันนี้ก็เป็นเรื่องละเหี่ยใจ สรุปว่า ทุกวันนี้ใครสนใจศาสนาจริงจังอยู่บ้างก็เป็นเรื่องที่ถือว่าเป็นผู้มีจิตใจแข็งแรงมาก เพราะอุปสรรคเยอะเหลือเกิน
ว่าถึงเรื่องตัดผมดีกว่าเดี๋ยวจะไม่ได้ว่า
เมื่อวานไปตัดผมมา
เป็นร้านญี่ปุ่น อยู่อโศกนี่แหละ ชื่อร้าน sora
ในร้านมีทั้งช่างไทยช่างญี่ปุ่น เขาบริการดี
สมัยเป็นเด็กข้าพเจ้าตัดผมไม่ได้เสียเงินซักบาท
เพราะลุงเป็นช่างตัดผม
ตัดฟรีตลอด
โตขึ้นจึงต้องไปตัดตามร้านตัดผมเพราะไม่ได้อยู่บ้านแล้ว
พอเข้ามหาวิทยาลัยปีแรก ๆ ข้าพเจ้าไม่เสียเงินตัดผมเพราะตัดเอง
เอากรรไกรมาสับ ๆ เข้าก็เรียบร้อย อาจจะเว้า ๆ แหว่ง ๆ บ้างช่างหัวมัน เพราะไม่ค่อยอินังขังขอบเรื่องผมอยู่แล้ว
อีกอย่างก็เคยอ่านประวัติพระธุดงค์ท่านก็ปลงผมเอง
แต่ที่บ้านข้าพเจ้านั้นบอกว่า ใครตัดผมเองจะเป็นบ้า
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะบ้าอยู่แล้วจะบ้ามากกว่านี้ก็ไม่เห็นมันจะหนักหัวใคร
ไป ๆ มา ๆ วันหนึ่ง ตอนนั้นอยู่ปีสอง ตัดแล้วมันแหว่งมาก เพราะกะจะให้มันสั้นมาก ๆ เพราะรำคาญ มีคนทักมาก ก็เลยตัดสินใจไปตัดที่ร้านตัดผมชื่อดังใกล้ ๆ คณะ ซึ่งตอนนั้นใคร ๆ ก็ตัดกันที่ร้านนี้
ไป ๆ มา ๆ อีก ร้านนั้นมันตัดไม่ค่อยดีละ ก็เปลี่ยนร้านไปตัดแถวหอพักเพราะมีร้านเปิดใหม่ สะดวกดี ความจริงไม่อยากจะเปลี่ยนช่างตัดผมเท่าไหร่ เพราะตัดแล้วมันไม่ถูกใจ
แม้กระทั่งไปทำงานที่อุดรธานีแล้วบ้างครั้งมากรุงเทพยังต้องมาตัดผมที่ร้านเดิม หลัง ๆ จึงเริ่มหาร้านแถวนั้น
พอคุ้นกันได้สักพักก็ต้องย้าย ไปศรีราชา
ช่างที่ถูกใจสุดอยู่ศรีราชา ตัดดี พูดคุยดี จนกระทั่งแม้ย้ายมากรุงเทพแล้วก็ยังไปตัดผมที่นั่น
แต่หลัง ๆ มาขี้เกียจ
จึงต้องหาร้านแถวนี้
และก็ไปชอบใจร้านญี่ปุ่นนี่เอง
ก่อนตัดเขาก็จะให้ช่างมาถามก่อนว่าจะตัดทรงไหน อะไรยังไง
แล้วก็ให้เลือกว่าอยากจะสระผมแบบไหน เอาแบบธรรมดา แบบนวดด้วย แบบนั้นแบบนี้ เยอะแยะ
ตัดแล้วก็โอเค ดี
และช่างไม่พูดมากดี
ข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบพูดนักเวลาตัดผม
อยากนั่งนิ่ง ๆ สบาย ๆ
ช่างบางคนก็ชวนคุยอยู่นั่นแหละ
บางทีก็รำคาญ
ไปตัดร้านนี้ก็ดี แม้คนอื่นมันจะพูดกันสนั่นร้าน แต่ก็พูดภาษาญี่ปุ่น
เราฟังไม่รู้เรื่องก็สบายใจ ไม่ต้องคอยเงี่ยหูฟังเรื่องของชาวบ้านมากนัก
การบริการแถวอโศกนี้ดีอย่างหนึ่ง คือ ลูกค้าเป็นพระเจ้ามาก เขาจะดูแลเอาใจทุกอย่าง จนทำให้เราลืมไม่ลงเลยทีเดียว ถ้าร้านจำพวกบริการอย่างนี้อยู่แถวนี้ก็รับรองได้ว่า ดี
แต่ก็บางร้านนั่นแหละ ส่วนมากจะเป็นร้านที่บริการต่างชาติ
ส่วนร้านอาหารนั่นหลาย ๆ ร้านมันก็แย่ ๆ
ไม่แนะนำมาก
เดี๋ยวเอาไว้วันหลังจะเขียนแนะนำว่า
ร้านอาหารร้านไหนน่าไปกินบ้าง
อย่างนี้ดีกว่า
วันนี้เห็นจะต้องพอก่อน เหนื่อยจะพิมพ์
ธัชชัย ธัญญาวัลย
11 08 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น