ซื้อ E-BOOK

Thumbnail Seller Link
การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง
ธัชชัย ธัญญาวัลย
www.mebmarket.com
คุณจะสำรวจลึกลงไปในสิ่งต่าง ๆ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านถ้อยคำ ที่กรองประกอบขึ้นเป็นหนังสือเล่มนี้ “การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง” กวีนิพนธ์เชิ...
Get it now

ว่าด้วยเทศกาลและการตัดผม

"ว่าด้วยเทศกาลและการตัดผม"

ต้องขึ้นหัวข้อเอาไว้ก่อน

เพราะจะได้ไม่ลืม

เพราะปกติ

เวลาเล่าอะไรไป ๆ

ก็จะเข้ารกเข้าพงไปเรื่อย

จนลืมไปว่า

เรื่องที่ตั้งใจจะเล่าแต่แรกนั่นมันเป็นเรื่องอะไร

บางทีก็จำได้

แต่พอไปเรื่องอื่นเสียมาก

ก็ขี้เกยจจะเล่าเรื่องแรก ๆ แล้ว

เริ่มเลยดีกว่า

ไม่เช่นนั้นจะลืมอีก


ว่าด้วยเรื่องเทศกาลก่อน

ด้วยเพราะวันก่อนอ่านข่าวเขาจะเลื่อนการเปิดเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจากเดือนมิถุนายน เป็นเดือน กันยายน

เพื่อให้ตรงกับเพื่อนบ้าน

ก็มีหลายความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

ทั้งในแง่ที่ว่า ทำไมเขาต้องปิดต้องเปิดเดือนนั้นเดือนนี้

เหตุผลที่ยกกันมามากที่สุดคือ หน้าร้อนมันร้อน

ก็ควรจะปิดเทอม เพราะไปเรียนไม่ไหว ร้อนเกินไป เรียนไม่รู้เรื่อง สู้เอาเวลาไปเที่ยวเตร่ทำกิจกรรมกับที่บ้านดีกว่า

ประกอบกับหน้าร้อนวันหยุดยาวเยอะเสียด้วย

เกรงว่าจะไม่มีสมาธิในการเรียน

ส่วนคนที่สนับสนุนการเปลี่ยนก็บอกว่า ต้องปรับตามภูมิภาคเขา เขาจะเปิดเสรีอาเซียน ประเทศอาเซียนเขาเปิดปิดอย่างนี้กัน พวกฝรั่งก็เปิดปิดอย่างนี้กัน และถ้าเปิดกันยายนก็ดีเพราะมันเลย ๆ หน้าฝนมาแล้ว เดือนมิถุนายนฝนตกนักเรียนไปเรียนลำบาก แถมหน้าฝนถ้าปิดเทอมเด็กก็จะได้ช่วยพ่อแม่ทำนา ว่าไปโน่น

ถามว่าข้าพเจ้าเห็นด้วยกับฝ่ายใด ข้าพเจ้าก็คงเห็นด้วยกับการเปิดเทอมตอนมิถุนายนอยู่ดี ประเทศอาเซียนเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งดังนั้นข้าพเจ้าคิดเอาเองว่าเขาก็คงเปิดปิดตามเดือนของฝรั่ง แต่เดือนของฝรั่งมันปิดเทอมกันตอนฤดูร้อน แต่อากาศเอเชียช่วงที่เขาร้อนเราไม่ร้อนเรากำลังจะหนาว

ถ้าอาเซียนจะปรับการเปิดเทอมให้ตรงกัน ทำไมไม่ปรับให้มาเปิดเดือนมิถุนายนเหมือนเรา อันนี้ก็น่าคิด

เรื่องจะปิดเทอมแล้วให้เด็กไปช่วยทำนานั้นอย่าหวัง ไม่ใช่เรื่อง แล้วอีกอย่างผู้เริ่มต้นการเปิดปิดนี้คือมหาวิทยาลัย ถามว่า เด็กจุฬาฯ จะไปทำนาที่ไหน หรือเด็กมหาวิทยาลัยอื่นก็เถอะ ลูกชาวนามาเรียนมหาวิทยาลัยกี่คน หรือมีกี่มหาวิทยาลัยในไทยกันที่สอนการทำนาแล้วเด็กต้องไปทำนาจริงๆ ปิดเทอมฝนตกก็นอนมันอยู่บ้านให้สบายเสียก็เท่านั้น

พูดเรื่องนอนอยู่บ้าน ไม่มีอะไรทำก็เล่นอินเตอร์เน็ต เล่นเบื่อแล้วทำอะไร ออกไปไหนก็ลำบาก เด็กอาจจะอยากอ่านหนังสือ ก็ไม่แน่ เด็กไทยอาจจะอ่านหนังสือมากขึ้นก็ได้ ถ้ามีการปิดเทอมฤดูฝนกันจริง ๆ

เพราะจะว่าไปการอ่านหนังสือมันก็เป็นเครื่องบันเทิงเริงใจแก่คนที่มีบ้านอึบทึบเช่นพวกยุโรปที่มีฤดูหนาวอันยาวนาน ออกไปไหนไม่ได้ก็นอนอยู่บ้านอ่านหนังสือ มันก็เป็นวัฒนธรรมของเขา

ส่วนของไทยเรามีฤดูหนาวแค่ไม่กี่เดือน นอกนั้นอากาศข้างนอกมันรื่นรมย์กว่านัก ก็ไปเที่ยวเตร็ดเตร่มันเสียเลย
อีกประการหนึ่งวัฒนธรรมไทยไม่ได้เป็นวัฒนธรรมแห่งการอ่าน

เมื่อคืนข้าพเจ้าก็เปรยเรื่องนี้ในวงพบปะกันของนักเขียน ชาวค่ายอ่านเขียนเรียนคิด ที่ร้านอีเมียร์

เราเป็นวัฒนธรรมของการฟัง วรรณกรรมของเราก็เป็นมุขปาฐะ ขุนช้าง-ขุนแผน ก็มาจากมุขปาฐะ

หรือแม้แต่คัมภีร์ทางพระพุทธศานาก็เป็นมุขปาฐะ และสังคมไทยเป็นสังคมพุทธ มันเป็นอย่างนี้มานานมาก
หนังสือวรรณคดีของเรามีไม่กี่เล่มที่ตกทอดมา ตำราต่าง ๆ เราถ่ายทอดกันมาโดยปากเสียทั้งสิ้น
จดจารึกไว้ก็ไม่มาก จนกระทั่งวัฒนธรรมหนังสือมันเริ่มต้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลางนี่เอง

อนึ่งสมุด หรือกระดาษนั้นมันหายาก หนังสือจึงเป็นของยากที่จะมี

การรณรงค์ให้เกิดการอ่านในประเทศไทยจึงเป็นเหมือนการพยายามจะเปลี่ยนวัฒนธรรม ซึ่งเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลาพอสมควร ในชีวิตนี้เราอาจจะไม่ได้เห็นก็เป็นได้ เว้นเสียแต่เราบังคับเอา

ข้าพเจ้าอ่านข่าวเห็นว่าประเทศสิงคโปร์เด็กของเขาอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละสี่สิบถึงห้าสิบเล่ม อัตรานี้น่าจะถือว่ามากแล้วสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ค่อยชอบอ่าน

ข้าพเจ้าก็อยากรู้ว่าสถิติแบบนี้เขาได้มาได้ยังไง
ก็พบคร่าว ๆ ว่า เขาให้เด็กนักเรียนถือหนังสือไปอ่านที่โรงเรียน เช่น ก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ หรืออะไรเทือกนี้ แล้วก็บันทึกไว้ จุดนี้ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่ามันถูกต้องหรือไม่ท่านใดมีความรู้ว่าเขาทำยังไงจริง ๆ ก็โปรดบอกข้าพเจ้าด้วย

เห็นเขาว่าอย่างนี้แล้วข้าพเจ้าก็มานึกถึงตัวเองมั่งว่า ตัวเองอ่านหนังสือไปกี่เล่มต่อหนึ่งปี

ข้าพเจ้ามีหนังสือที่ซื้อเองประมาณหนึ่งพันหกร้อยเล่ม ข้าพเจ้าจำตัวเลขแน่นอนไม่ได้ เพราะถ้าจะเอาจริงต้องไปเปิดสมุด เวลาซื้อหนังสือมาข้าพเจ้าจะบันทึกไว้ว่าได้มาวันที่เท่าไหร่ และลงทะเบียนไว้ว่าเล่มที่ได้มาเป็นเล่มที่เท่าไหร่แล้ว คือทำเหมือนห้องสมุด แต่ถ้านับที่อ่านจริง ๆ ก็คงมากกว่าหนึ่งพันหกร้อยกว่าเล่มที่มี เพราะตอนเด็ก ๆ ข้าพเจ้ามักยืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่าน ทั้งตอนโตแล้วก็ยังยืมอยู่ในบางเล่มที่ไม่อยากซื้อหรือไม่มีในร้านหนังสือ รวม ๆ แล้วก็ประมาณเอาว่าสักสองพันเล่ม
อันนี้ไม่รวมพวกนิตยสาร หนังสือพิมพ์ หรืออ่านข่าวตามอินเตอร์เน็ต

ข้าพเจ้าอ่านหนังสือมาตั้งแต่อายุประมาณแปดขวบ ความจริงก่อนหน้านั้นก็อ่าน จำพวกนิทานภาพสำหรับอะไรเทือกนั้น

ก็สรุปเอาว่าตอนนี้ข้าพเจ้าอายุย่างยี่สิบแปด ก็ลบกันเป็นยี่สิบปีพอดีกับการอ่าน หารสองพัน ก็ตกปีละประมาณหนึ่งร้อยเล่ม บวกลบ

ในฐานะคนชอบอ่านหนังสือ หนึ่งร้อยเล่มต่อปีก็ถือว่าธรรมดา

คนอื่นที่รักการอ่านคงอ่านได้มากกว่าข้าพเจ้า เพราะเอาเข้าจริงบางเวลาข้าพเจ้าก็งานเยอะ หรือขี้เกียจที่จะอ่าน

แต่แท้แล้ว ข้าพเจ้าต้องยอมรับตรง ๆ ว่า ข้าพเจ้ามีทุกอย่างได้ในวันนี้เพราะอ่านหนังสือ มันเป็นความโชคดีหรือเพราะผลของกรรมดีอย่างนี้ก็ได้ที่ข้าพเจ้าประพฤติตัวผิดแผกไปจากวัฒนธรรม เพราะที่บ้านข้าพเจ้าก็ไม่มีใครอ่านหนังสือกัน น้องสาวข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนชอบอ่านหนังสือ มันไม่ได้เกิดมาจากพันธุกรรม หรือสิ่งแวดล้อม แต่มันเกิดมาจากสิ่ง ๆ หนึ่งในตัวบุคคลนั้น อันนี้ข้าพเจ้าสรุปเอง

ถ้าสมมติว่าข้าพเจ้าดำเนินรอยตามวัฒนธรรม คือ ฟัง และเชื่อ ข้าพเจ้าอาจจะไม่มีวันนี้ก็ได้ เพราะโดยปกติข้าพเจ้าเป็นคนไม่ค่อยเชื่อ และก็ไม่ชอบฟัง เพราะการฟังมันต้องแล้วแต่คนพูด เขาอยากพูดอะไรเขาก็พูดไปเรื่อย เราต้องจับประเด็นเอง และถ้าเราอยากจะข้ามช่วงน่าเบื่อในการพูดของเขาไปฟังแต่ช่วงที่ตื่นเต้นที่เราอยากฟังอย่างนี้ก็ทำไม่ได้ เว้นแต่นั่นมันจะเป็นเทปบันทึกเสียงที่เราฟังมันแล้วรอบหนึ่ง

แต่การอ่านมันทำได้ ช่วงไหนมันบ่าเบื่อก็อ่านเร็ว ๆ เสีย ช่วงไหนไม่อยากอ่านก็ลัดไปเสียก็ได้

การอ่านมันดีอย่างนี้ ยิ่งใครอ่านได้เร็วก็ยิ่งได้เปรียบ

ว่าจะพูดเรื่องตัดผม เหนื่อยเสียก่อน

ตัดผม เอาไปเป็นหัวข้อต่อไปก็แล้วกันครับ

ธัชชัย ธัญญาวัลย
11 08 2554

ไม่มีความคิดเห็น: