ชีวิตที่เดินทางเข้าใกล้ความมอดดับของร่างกายของข้าพเจ้า
ก็ล่วงเข้าสู่ปีที่ 32 แล้ว
คนอายุ 32 ปี นี่ก็ถือว่า อายุมากแล้วนะครับ
มีหลายสิ่ง ที่ได้เรียนรู้ มีหลายอย่างที่ได้ทำผิด
และมีมากมายที่ได้ทำถูก
เราคงไม่มานั่งถกกันถึงปรัชญาว่า
อะไรคือความถูก อะไรคือความผิด
เพราะตอนนี้ตั้งใจที่จะพูดว่า
เราได้เรียนรู้อะไร เมื่ออายุ 32 ปี
( นอกเหนือจากที่พูดไปในบทความที่แล้ว )
จริง ๆ การเรียนรู้มันก็สั่งสมมาเรื่อย ๆ นะครับ
สิ่งที่สำคัญที่สุด ในห้วงปีที่ผ่านมา
ที่คิดว่า เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตก็คือ
เมื่อคนเราโตขึ้นมาแล้ว ก็ต้องนิ่งให้เป็น
ความนิ่ง ในที่นี้ หมายความไปถึง อุเบกขา
อุเบกขาธรรมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชีวิต
ไม่เฉพาะคนอายุมากเท่านั้น
แต่คนอายุน้อยก็ควรจะนิ่งให้เป็น
แต่มันก็เป็นเรื่องยากลำบาก สำหรับคนอายุน้อย
คนอายุน้อยก็ควรจะได้สำแดงพลังหลาย ๆ อย่าง
อย่างที่อยากจะแสดง
แต่เมื่อเราอายุมาก
บางคนก็อาจจะยังอยากสำแดงพลัง
นั่นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
แต่สำหรับข้าพเจ้า
เมื่ออายุมาก
ข้าพเจ้าเริ่มนิ่งเงียบ
สังเกตจากที่บล็อกแห่งนี้
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้มาโพสต์ไว้นานมากแล้ว
ตามโซเชียลต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยได้แสดงความคิดเห็นอะไร
เพียงแต่แสดง "เหตุการณ์" ต่าง ๆ ในชีวิตเท่านั้น
ข้าพเจ้างดเว้นที่จะแสดงความคิดเห็นในทางการเมือง
ศาสนา สังคม วัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งวรรณกรรม
ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อน
ที่หากมีประเด็นใด ๆ ข้าพเจ้าก็มักจะกระโจนร่วมด้วยเสมอ
แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่า เป็นเพราะข้าพเจ้าอายุมาก แต่เพียงอย่างเดียว
เมื่อปีก่อน ข้าพเจ้าได้ทบทวนเกี่ยวกับการเล่นเฟซบุ๊คของตัวเอง
ความจริง เฟซบุ๊คนี้ ข้าพเจ้าเริ่มเล่นตั้งแต่ยังไม่ค่อยมีคนเล่น
เมื่อพิจารณาการเล่นเฟซบุ๊คของตัวเองแล้ว
ข้าพเจ้าก็พบว่า ช่างน่าละอายเสียเหลือเกิน
กับอาการแสดงต่าง ๆ ที่ได้กระทำลงไป
ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะล็อกสิ่งต่าง ๆ เอาไว้
ไม่ให้ผู้ใดได้เห็น
บางอย่างก็ลบออกไปเสีย
ความจริง ก็อยากจะลบออกไปให้หมด
แต่ยังมีความอาลัยในความทรงจำอยู่บ้าง
จึงทำได้เพียงล็อกมันเอาไว้
ซึ่งเราสามารถดูได้คนเดียว หรือหากไม่ก็คนที่เราได้แท็กเอาไว้เท่านั้น
และเมื่อข้าพเจ้าได้เล่นมันต่อ ๆ มา
โพสต์ใดที่เก่าแล้ว
ข้าพเจ้าก็จะทยอยไปล็อกมันเอาไว้
ไม่ให้ผู้อื่นได้เห็น
แต่นั่นไม่ใช่เพราะความละอาย
เพราะหลัง ๆ มาข้าพเจ้าไม่ได้กระทำทางวจีใด ๆ มากมายแล้ว
ข้าพเจ้าเลือกที่จะนิ่งเงียบ
มีบ้าง บางครั้งบางประเด็นที่มันน่าพูดถึง
เพราะมันสะเทือนใจเหลือเกิน
มันเศร้าเหลือเกิน
มันเหลืออดเหลือทนเหลือเกิน
แต่ข้าพเจ้าก็พยายามหักห้ามใจไม่ให้พูด ไม่ให้กล่าว
รักษาความเป็นอุเบกขาของจิตเอาไว้
ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
พิจารณาอยู่เนือง ๆ ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ใครทำอะไรอย่างใดไว้ ก็ต้องได้รับผลเช่นนั้น
แม้เราเองก็ต้องได้รับผลแห่งการกระทำของเรา
แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่า หากมีส่วนใดที่เราช่วยเหลือได้
แล้วเราจะไม่ช่วย
สิ่งที่ควรสงเคราะห์เกื้อกูลแก่กันและกัน
เราก็สงเคราะห์เกื้อกูล
สิ่งที่เราทำได้ก็ทำ แต่สิ่งที่ทำไม่ได้ แม้พยายามแล้วไม่ได้
ก็ต้องทำใจว่า ไม่ได้
ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม
และด้วยความคิดแบบใหม่ ข้าพเจ้าคิดว่า
คนเราก็ควรจะรู้จักในปัจจุบันของกันและกันเท่านั้น
การรู้จักอดีต จะมีความหมายมากมายสักเท่าไหร่
ยิ่งคนที่แอดเฟรนด์เข้ามาใหม่ ๆ
ก็ไม่ควรจะได้รู้อะไรมากไปกว่าที่ได้รู้จักในปัจจุบัน
และควรจะได้ทำความรู้จักกันต่อจากนั้นไปเรื่อย ๆ
โดยละทิ้งอดีตบางส่วนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมออกไปเสีย
อยู่กับปัจจุบันขณะ
อยู่อย่างมีความสุขกับปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงทยอยล็อกสิ่งต่าง ๆ ที่โพสต์ไปในเฟซบุ๊คอยู่เรื่อย ๆ
ให้เป็นปัจจุบัน หรือใกล้เคียงกับปัจจุบันมากที่สุด
ยกเว้นว่า สิ่งใดที่ไม่อยากล็อก ก็ปล่อยเอาไว้อย่างนั้น
กล่าวโดยสรุป ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะนิ่งเงียบ
เมื่ออายุ 32 ปี
และเมื่อ อายุ 31 ปี ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะรอบคอบ
ส่วนการเรียนรู้ที่จะทำอะไร ๆ เมื่ออายุที่ต่ำกว่า 31 ปีลงไปนั้น
ข้าพเจ้าคิดว่า หากมีเวลาเมื่อไหร่
ข้าพเจ้าอาจจะได้สรุปรวม สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากโลกใบนี้ไว้บ้าง
อาจจะเป็นหนังสือสักเล่ม
หรืออาจจะเป็นอะไรก็ได้
ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป
นอกจากความนิ่งเงียบ ที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้และปฏิบัติตนแล้ว
ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมาย ที่ข้าพเจ้าได้รับรู้
และตระหนักว่า
การมีชีวิตอยู่ในโลก ช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย
และแท้แล้ว ไม่ว่ามนุษย์จะเป็นอย่างไร
ยาก ดี มี จน
ก็ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้กิเลสตัณหาเสียทั้งสิ้น
สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าพยายามได้ทำ และได้ทำสำเร็จแล้ว
เมื่อปีที่แล้ว ข้าพเจ้าตั้งใจว่า
ตลอดเข้าพรรษานั้น จะนั่งสมาธิทุกวันมิให้ขาด
ซึ่งก็ได้กระทำจนสำเร็จ
มีแหว่ง ๆ นิด ๆ ตอนท้าย ๆ แต่ก็ถือว่าอนุโลม
แต่ปีนี้ ตลอดกาลเข้าพรรษา ข้าพเจ้าได้ทำสำเร็จ
โดยไม่มีข้อติติงแม้แต่เล็กน้อย
ทั้งนี้ ไม่ใช่เฉพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น
ข้าพเจ้าน่าจะตั้งใจไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน
หรืออย่างที่ไม่พลาดเลยก็คือ เดือน พฤษภาคม, มิถุนายน
คือตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
ข้าพเจ้าก็ได้ตั้งใจว่า จะนั่งสมาธิทุกวันมิให้ขาด
ซึ่งนับจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่ขาดแม้สักวัน
และข้าพเจ้าก็ตั้งใจว่า
จะนั่งสมาธิทุกวันไม่ให้ขาด ให้ครบหนึ่งปีให้ได้
( ตอนนี้น่าจะได้อย่างน้อย ๆ ก็ 6 เดือนแล้วที่พากเพียรมา )
และในปีต่อ ๆ ไป ทุกวัน ๆ ให้ได้
ซึ่งมองดูสถาณการณ์แล้ว
ข้าพเจ้าคิดว่า คงไม่ได้ยากเย็นแต่อย่างใด
เรื่องการนั่งสมาธินี้
ข้าพเจ้าก็ได้นั่งมาตั้งแต่อายุ 14 ปี
จนนับถึงวันนี้
อายุ 32 ปีแล้ว
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ข้าพเจ้านั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ
แม้จะขาดบ้างในบางวัน
หรือบางทีติดต่อกันหลายวัน
แต่ก็ไม่เคยห่างหายไปจากการทำสมาธิเลยแม้แต่น้อย
พยายามทำให้มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนรู้สึกว่า ในปัจจุบันนี้
ข้าพเจ้าได้พัฒนามาจนเป็นที่พอใจ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นพอใจที่สุด
จากแต่ก่อน เริ่มใหม่ ๆ นั่งได้ 5-10 นาที
ก็เพิ่มมาเป็น 30 นาที
ก็เพิ่มมาเป็น 45 นาที
ก็เพิ่มมาเป็น 1 ชั่วโมง
ก็เพิ่มมาเป็น 1 ชั่วโมง 30 นาที
ก็เพิ่มมาเป็น 2 ชั่วโมง
ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีมาก สำหรับคนที่ไม่มีเวลาว่างเป็นส่วนตัวมาก
และมีกิจธุระต้องทำมาก เช่นข้าพเจ้า
โดยเฉพาะในช่วงปีหลัง ๆ คือ ช่วง 2-3 ปี มานี้
ข้าพเจ้าพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะนอกจากได้ไปฝึกในสถานที่ที่ดี
แล้ว ส่วนหนึ่งก็คือ ข้าพเจ้าได้มีเวลาเป็นส่วนตัวมากขึ้น
เพราะไม่ต้องวุ่นวายเรื่องผู้หญิงผู้ชายมากนัก
สรุปแล้ว ในชีวิตปีที่ 32 ก็ยังมีอีกอย่างหนึ่ง
หรืออีก 2 อย่าง
ที่เป็นการงานในโลก
ที่ควรจะเรียกได้ว่า ประสบความสำเร็จอีกขั้น
ซึ่งคิดว่า
จะเล่าในบทต่อไป
ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่า ไม่สำคัญมากนัก
เพราะโดยปกติแล้ว
ข้าพเจ้าก็ให้ความสำคัญกับส่วนนามธรรม คือ จิตใจ
ซึ่งมีคุณค่ามากกว่าวัตถุใด ๆ ในโลก
Arty
04/11/2559
ก็ล่วงเข้าสู่ปีที่ 32 แล้ว
คนอายุ 32 ปี นี่ก็ถือว่า อายุมากแล้วนะครับ
มีหลายสิ่ง ที่ได้เรียนรู้ มีหลายอย่างที่ได้ทำผิด
และมีมากมายที่ได้ทำถูก
เราคงไม่มานั่งถกกันถึงปรัชญาว่า
อะไรคือความถูก อะไรคือความผิด
เพราะตอนนี้ตั้งใจที่จะพูดว่า
เราได้เรียนรู้อะไร เมื่ออายุ 32 ปี
( นอกเหนือจากที่พูดไปในบทความที่แล้ว )
จริง ๆ การเรียนรู้มันก็สั่งสมมาเรื่อย ๆ นะครับ
สิ่งที่สำคัญที่สุด ในห้วงปีที่ผ่านมา
ที่คิดว่า เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตก็คือ
เมื่อคนเราโตขึ้นมาแล้ว ก็ต้องนิ่งให้เป็น
ความนิ่ง ในที่นี้ หมายความไปถึง อุเบกขา
อุเบกขาธรรมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชีวิต
ไม่เฉพาะคนอายุมากเท่านั้น
แต่คนอายุน้อยก็ควรจะนิ่งให้เป็น
แต่มันก็เป็นเรื่องยากลำบาก สำหรับคนอายุน้อย
คนอายุน้อยก็ควรจะได้สำแดงพลังหลาย ๆ อย่าง
อย่างที่อยากจะแสดง
แต่เมื่อเราอายุมาก
บางคนก็อาจจะยังอยากสำแดงพลัง
นั่นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
แต่สำหรับข้าพเจ้า
เมื่ออายุมาก
ข้าพเจ้าเริ่มนิ่งเงียบ
สังเกตจากที่บล็อกแห่งนี้
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้มาโพสต์ไว้นานมากแล้ว
ตามโซเชียลต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยได้แสดงความคิดเห็นอะไร
เพียงแต่แสดง "เหตุการณ์" ต่าง ๆ ในชีวิตเท่านั้น
ข้าพเจ้างดเว้นที่จะแสดงความคิดเห็นในทางการเมือง
ศาสนา สังคม วัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งวรรณกรรม
ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อน
ที่หากมีประเด็นใด ๆ ข้าพเจ้าก็มักจะกระโจนร่วมด้วยเสมอ
แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่า เป็นเพราะข้าพเจ้าอายุมาก แต่เพียงอย่างเดียว
เมื่อปีก่อน ข้าพเจ้าได้ทบทวนเกี่ยวกับการเล่นเฟซบุ๊คของตัวเอง
ความจริง เฟซบุ๊คนี้ ข้าพเจ้าเริ่มเล่นตั้งแต่ยังไม่ค่อยมีคนเล่น
เมื่อพิจารณาการเล่นเฟซบุ๊คของตัวเองแล้ว
ข้าพเจ้าก็พบว่า ช่างน่าละอายเสียเหลือเกิน
กับอาการแสดงต่าง ๆ ที่ได้กระทำลงไป
ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะล็อกสิ่งต่าง ๆ เอาไว้
ไม่ให้ผู้ใดได้เห็น
บางอย่างก็ลบออกไปเสีย
ความจริง ก็อยากจะลบออกไปให้หมด
แต่ยังมีความอาลัยในความทรงจำอยู่บ้าง
จึงทำได้เพียงล็อกมันเอาไว้
ซึ่งเราสามารถดูได้คนเดียว หรือหากไม่ก็คนที่เราได้แท็กเอาไว้เท่านั้น
และเมื่อข้าพเจ้าได้เล่นมันต่อ ๆ มา
โพสต์ใดที่เก่าแล้ว
ข้าพเจ้าก็จะทยอยไปล็อกมันเอาไว้
ไม่ให้ผู้อื่นได้เห็น
แต่นั่นไม่ใช่เพราะความละอาย
เพราะหลัง ๆ มาข้าพเจ้าไม่ได้กระทำทางวจีใด ๆ มากมายแล้ว
ข้าพเจ้าเลือกที่จะนิ่งเงียบ
มีบ้าง บางครั้งบางประเด็นที่มันน่าพูดถึง
เพราะมันสะเทือนใจเหลือเกิน
มันเศร้าเหลือเกิน
มันเหลืออดเหลือทนเหลือเกิน
แต่ข้าพเจ้าก็พยายามหักห้ามใจไม่ให้พูด ไม่ให้กล่าว
รักษาความเป็นอุเบกขาของจิตเอาไว้
ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
พิจารณาอยู่เนือง ๆ ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ใครทำอะไรอย่างใดไว้ ก็ต้องได้รับผลเช่นนั้น
แม้เราเองก็ต้องได้รับผลแห่งการกระทำของเรา
แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่า หากมีส่วนใดที่เราช่วยเหลือได้
แล้วเราจะไม่ช่วย
สิ่งที่ควรสงเคราะห์เกื้อกูลแก่กันและกัน
เราก็สงเคราะห์เกื้อกูล
สิ่งที่เราทำได้ก็ทำ แต่สิ่งที่ทำไม่ได้ แม้พยายามแล้วไม่ได้
ก็ต้องทำใจว่า ไม่ได้
ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม
และด้วยความคิดแบบใหม่ ข้าพเจ้าคิดว่า
คนเราก็ควรจะรู้จักในปัจจุบันของกันและกันเท่านั้น
การรู้จักอดีต จะมีความหมายมากมายสักเท่าไหร่
ยิ่งคนที่แอดเฟรนด์เข้ามาใหม่ ๆ
ก็ไม่ควรจะได้รู้อะไรมากไปกว่าที่ได้รู้จักในปัจจุบัน
และควรจะได้ทำความรู้จักกันต่อจากนั้นไปเรื่อย ๆ
โดยละทิ้งอดีตบางส่วนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมออกไปเสีย
อยู่กับปัจจุบันขณะ
อยู่อย่างมีความสุขกับปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงทยอยล็อกสิ่งต่าง ๆ ที่โพสต์ไปในเฟซบุ๊คอยู่เรื่อย ๆ
ให้เป็นปัจจุบัน หรือใกล้เคียงกับปัจจุบันมากที่สุด
ยกเว้นว่า สิ่งใดที่ไม่อยากล็อก ก็ปล่อยเอาไว้อย่างนั้น
กล่าวโดยสรุป ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะนิ่งเงียบ
เมื่ออายุ 32 ปี
และเมื่อ อายุ 31 ปี ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะรอบคอบ
ส่วนการเรียนรู้ที่จะทำอะไร ๆ เมื่ออายุที่ต่ำกว่า 31 ปีลงไปนั้น
ข้าพเจ้าคิดว่า หากมีเวลาเมื่อไหร่
ข้าพเจ้าอาจจะได้สรุปรวม สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากโลกใบนี้ไว้บ้าง
อาจจะเป็นหนังสือสักเล่ม
หรืออาจจะเป็นอะไรก็ได้
ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป
นอกจากความนิ่งเงียบ ที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้และปฏิบัติตนแล้ว
ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมาย ที่ข้าพเจ้าได้รับรู้
และตระหนักว่า
การมีชีวิตอยู่ในโลก ช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย
และแท้แล้ว ไม่ว่ามนุษย์จะเป็นอย่างไร
ยาก ดี มี จน
ก็ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้กิเลสตัณหาเสียทั้งสิ้น
สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าพยายามได้ทำ และได้ทำสำเร็จแล้ว
เมื่อปีที่แล้ว ข้าพเจ้าตั้งใจว่า
ตลอดเข้าพรรษานั้น จะนั่งสมาธิทุกวันมิให้ขาด
ซึ่งก็ได้กระทำจนสำเร็จ
มีแหว่ง ๆ นิด ๆ ตอนท้าย ๆ แต่ก็ถือว่าอนุโลม
แต่ปีนี้ ตลอดกาลเข้าพรรษา ข้าพเจ้าได้ทำสำเร็จ
โดยไม่มีข้อติติงแม้แต่เล็กน้อย
ทั้งนี้ ไม่ใช่เฉพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น
ข้าพเจ้าน่าจะตั้งใจไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน
หรืออย่างที่ไม่พลาดเลยก็คือ เดือน พฤษภาคม, มิถุนายน
คือตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
ข้าพเจ้าก็ได้ตั้งใจว่า จะนั่งสมาธิทุกวันมิให้ขาด
ซึ่งนับจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่ขาดแม้สักวัน
และข้าพเจ้าก็ตั้งใจว่า
จะนั่งสมาธิทุกวันไม่ให้ขาด ให้ครบหนึ่งปีให้ได้
( ตอนนี้น่าจะได้อย่างน้อย ๆ ก็ 6 เดือนแล้วที่พากเพียรมา )
และในปีต่อ ๆ ไป ทุกวัน ๆ ให้ได้
ซึ่งมองดูสถาณการณ์แล้ว
ข้าพเจ้าคิดว่า คงไม่ได้ยากเย็นแต่อย่างใด
เรื่องการนั่งสมาธินี้
ข้าพเจ้าก็ได้นั่งมาตั้งแต่อายุ 14 ปี
จนนับถึงวันนี้
อายุ 32 ปีแล้ว
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ข้าพเจ้านั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ
แม้จะขาดบ้างในบางวัน
หรือบางทีติดต่อกันหลายวัน
แต่ก็ไม่เคยห่างหายไปจากการทำสมาธิเลยแม้แต่น้อย
พยายามทำให้มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนรู้สึกว่า ในปัจจุบันนี้
ข้าพเจ้าได้พัฒนามาจนเป็นที่พอใจ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นพอใจที่สุด
จากแต่ก่อน เริ่มใหม่ ๆ นั่งได้ 5-10 นาที
ก็เพิ่มมาเป็น 30 นาที
ก็เพิ่มมาเป็น 45 นาที
ก็เพิ่มมาเป็น 1 ชั่วโมง
ก็เพิ่มมาเป็น 1 ชั่วโมง 30 นาที
ก็เพิ่มมาเป็น 2 ชั่วโมง
ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีมาก สำหรับคนที่ไม่มีเวลาว่างเป็นส่วนตัวมาก
และมีกิจธุระต้องทำมาก เช่นข้าพเจ้า
โดยเฉพาะในช่วงปีหลัง ๆ คือ ช่วง 2-3 ปี มานี้
ข้าพเจ้าพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะนอกจากได้ไปฝึกในสถานที่ที่ดี
แล้ว ส่วนหนึ่งก็คือ ข้าพเจ้าได้มีเวลาเป็นส่วนตัวมากขึ้น
เพราะไม่ต้องวุ่นวายเรื่องผู้หญิงผู้ชายมากนัก
สรุปแล้ว ในชีวิตปีที่ 32 ก็ยังมีอีกอย่างหนึ่ง
หรืออีก 2 อย่าง
ที่เป็นการงานในโลก
ที่ควรจะเรียกได้ว่า ประสบความสำเร็จอีกขั้น
ซึ่งคิดว่า
จะเล่าในบทต่อไป
ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่า ไม่สำคัญมากนัก
เพราะโดยปกติแล้ว
ข้าพเจ้าก็ให้ความสำคัญกับส่วนนามธรรม คือ จิตใจ
ซึ่งมีคุณค่ามากกว่าวัตถุใด ๆ ในโลก
Arty
04/11/2559
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น