ซื้อ E-BOOK

Thumbnail Seller Link
การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง
ธัชชัย ธัญญาวัลย
www.mebmarket.com
คุณจะสำรวจลึกลงไปในสิ่งต่าง ๆ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านถ้อยคำ ที่กรองประกอบขึ้นเป็นหนังสือเล่มนี้ “การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง” กวีนิพนธ์เชิ...
Get it now

32 ปีที่ก้าวผ่าน

ชีวิตที่เดินทางเข้าใกล้ความมอดดับของร่างกายของข้าพเจ้า

ก็ล่วงเข้าสู่ปีที่  32  แล้ว

คนอายุ  32  ปี  นี่ก็ถือว่า  อายุมากแล้วนะครับ


มีหลายสิ่ง  ที่ได้เรียนรู้  มีหลายอย่างที่ได้ทำผิด

และมีมากมายที่ได้ทำถูก

เราคงไม่มานั่งถกกันถึงปรัชญาว่า

อะไรคือความถูก  อะไรคือความผิด


เพราะตอนนี้ตั้งใจที่จะพูดว่า

เราได้เรียนรู้อะไร  เมื่ออายุ   32  ปี

( นอกเหนือจากที่พูดไปในบทความที่แล้ว )


จริง ๆ  การเรียนรู้มันก็สั่งสมมาเรื่อย ๆ  นะครับ

สิ่งที่สำคัญที่สุด  ในห้วงปีที่ผ่านมา

ที่คิดว่า  เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตก็คือ

เมื่อคนเราโตขึ้นมาแล้ว  ก็ต้องนิ่งให้เป็น


ความนิ่ง  ในที่นี้  หมายความไปถึง  อุเบกขา

อุเบกขาธรรมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชีวิต

ไม่เฉพาะคนอายุมากเท่านั้น

แต่คนอายุน้อยก็ควรจะนิ่งให้เป็น

แต่มันก็เป็นเรื่องยากลำบาก  สำหรับคนอายุน้อย

คนอายุน้อยก็ควรจะได้สำแดงพลังหลาย ๆ  อย่าง

อย่างที่อยากจะแสดง

แต่เมื่อเราอายุมาก

บางคนก็อาจจะยังอยากสำแดงพลัง

นั่นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล

แต่สำหรับข้าพเจ้า

เมื่ออายุมาก

ข้าพเจ้าเริ่มนิ่งเงียบ


สังเกตจากที่บล็อกแห่งนี้

ข้าพเจ้าก็ไม่ได้มาโพสต์ไว้นานมากแล้ว

ตามโซเชียลต่าง ๆ  ก็ไม่ค่อยได้แสดงความคิดเห็นอะไร

เพียงแต่แสดง  "เหตุการณ์"  ต่าง ๆ  ในชีวิตเท่านั้น

ข้าพเจ้างดเว้นที่จะแสดงความคิดเห็นในทางการเมือง

ศาสนา  สังคม  วัฒนธรรม  หรือแม้กระทั่งวรรณกรรม

ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อน

ที่หากมีประเด็นใด ๆ  ข้าพเจ้าก็มักจะกระโจนร่วมด้วยเสมอ

แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่า  เป็นเพราะข้าพเจ้าอายุมาก  แต่เพียงอย่างเดียว


เมื่อปีก่อน  ข้าพเจ้าได้ทบทวนเกี่ยวกับการเล่นเฟซบุ๊คของตัวเอง

ความจริง  เฟซบุ๊คนี้  ข้าพเจ้าเริ่มเล่นตั้งแต่ยังไม่ค่อยมีคนเล่น

เมื่อพิจารณาการเล่นเฟซบุ๊คของตัวเองแล้ว

ข้าพเจ้าก็พบว่า  ช่างน่าละอายเสียเหลือเกิน

กับอาการแสดงต่าง ๆ  ที่ได้กระทำลงไป

ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะล็อกสิ่งต่าง ๆ  เอาไว้

ไม่ให้ผู้ใดได้เห็น

บางอย่างก็ลบออกไปเสีย

ความจริง  ก็อยากจะลบออกไปให้หมด

แต่ยังมีความอาลัยในความทรงจำอยู่บ้าง

จึงทำได้เพียงล็อกมันเอาไว้

ซึ่งเราสามารถดูได้คนเดียว  หรือหากไม่ก็คนที่เราได้แท็กเอาไว้เท่านั้น



และเมื่อข้าพเจ้าได้เล่นมันต่อ ๆ  มา

โพสต์ใดที่เก่าแล้ว

ข้าพเจ้าก็จะทยอยไปล็อกมันเอาไว้

ไม่ให้ผู้อื่นได้เห็น

แต่นั่นไม่ใช่เพราะความละอาย

เพราะหลัง ๆ  มาข้าพเจ้าไม่ได้กระทำทางวจีใด ๆ  มากมายแล้ว

ข้าพเจ้าเลือกที่จะนิ่งเงียบ

มีบ้าง  บางครั้งบางประเด็นที่มันน่าพูดถึง

เพราะมันสะเทือนใจเหลือเกิน

มันเศร้าเหลือเกิน

มันเหลืออดเหลือทนเหลือเกิน

แต่ข้าพเจ้าก็พยายามหักห้ามใจไม่ให้พูด  ไม่ให้กล่าว

รักษาความเป็นอุเบกขาของจิตเอาไว้

ไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย

พิจารณาอยู่เนือง ๆ  ว่า  สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ใครทำอะไรอย่างใดไว้  ก็ต้องได้รับผลเช่นนั้น

แม้เราเองก็ต้องได้รับผลแห่งการกระทำของเรา

แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่า  หากมีส่วนใดที่เราช่วยเหลือได้

แล้วเราจะไม่ช่วย

สิ่งที่ควรสงเคราะห์เกื้อกูลแก่กันและกัน

เราก็สงเคราะห์เกื้อกูล

สิ่งที่เราทำได้ก็ทำ  แต่สิ่งที่ทำไม่ได้  แม้พยายามแล้วไม่ได้

ก็ต้องทำใจว่า  ไม่ได้

ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม


และด้วยความคิดแบบใหม่  ข้าพเจ้าคิดว่า

คนเราก็ควรจะรู้จักในปัจจุบันของกันและกันเท่านั้น

การรู้จักอดีต  จะมีความหมายมากมายสักเท่าไหร่

ยิ่งคนที่แอดเฟรนด์เข้ามาใหม่ ๆ 

ก็ไม่ควรจะได้รู้อะไรมากไปกว่าที่ได้รู้จักในปัจจุบัน

และควรจะได้ทำความรู้จักกันต่อจากนั้นไปเรื่อย ๆ 

โดยละทิ้งอดีตบางส่วนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมออกไปเสีย

อยู่กับปัจจุบันขณะ

อยู่อย่างมีความสุขกับปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้  ข้าพเจ้าจึงทยอยล็อกสิ่งต่าง ๆ  ที่โพสต์ไปในเฟซบุ๊คอยู่เรื่อย ๆ 

ให้เป็นปัจจุบัน  หรือใกล้เคียงกับปัจจุบันมากที่สุด

ยกเว้นว่า  สิ่งใดที่ไม่อยากล็อก  ก็ปล่อยเอาไว้อย่างนั้น


กล่าวโดยสรุป  ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะนิ่งเงียบ

เมื่ออายุ  32  ปี

และเมื่อ  อายุ  31  ปี  ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะรอบคอบ

ส่วนการเรียนรู้ที่จะทำอะไร ๆ  เมื่ออายุที่ต่ำกว่า  31  ปีลงไปนั้น

ข้าพเจ้าคิดว่า  หากมีเวลาเมื่อไหร่

ข้าพเจ้าอาจจะได้สรุปรวม  สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากโลกใบนี้ไว้บ้าง

อาจจะเป็นหนังสือสักเล่ม

หรืออาจจะเป็นอะไรก็ได้

ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป



นอกจากความนิ่งเงียบ  ที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้และปฏิบัติตนแล้ว

ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ  อีกมากมาย  ที่ข้าพเจ้าได้รับรู้

และตระหนักว่า

การมีชีวิตอยู่ในโลก  ช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย

และแท้แล้ว  ไม่ว่ามนุษย์จะเป็นอย่างไร

ยาก  ดี  มี  จน

ก็ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้กิเลสตัณหาเสียทั้งสิ้น



สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าพยายามได้ทำ  และได้ทำสำเร็จแล้ว

เมื่อปีที่แล้ว  ข้าพเจ้าตั้งใจว่า

ตลอดเข้าพรรษานั้น  จะนั่งสมาธิทุกวันมิให้ขาด

ซึ่งก็ได้กระทำจนสำเร็จ

มีแหว่ง ๆ  นิด ๆ  ตอนท้าย ๆ  แต่ก็ถือว่าอนุโลม

แต่ปีนี้  ตลอดกาลเข้าพรรษา  ข้าพเจ้าได้ทำสำเร็จ

โดยไม่มีข้อติติงแม้แต่เล็กน้อย

ทั้งนี้  ไม่ใช่เฉพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น

ข้าพเจ้าน่าจะตั้งใจไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน

หรืออย่างที่ไม่พลาดเลยก็คือ  เดือน  พฤษภาคม,  มิถุนายน

คือตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

ข้าพเจ้าก็ได้ตั้งใจว่า  จะนั่งสมาธิทุกวันมิให้ขาด

ซึ่งนับจนถึงวันนี้  ก็ยังไม่ขาดแม้สักวัน

และข้าพเจ้าก็ตั้งใจว่า

จะนั่งสมาธิทุกวันไม่ให้ขาด  ให้ครบหนึ่งปีให้ได้

( ตอนนี้น่าจะได้อย่างน้อย ๆ  ก็  6  เดือนแล้วที่พากเพียรมา )

และในปีต่อ ๆ  ไป  ทุกวัน ๆ  ให้ได้

ซึ่งมองดูสถาณการณ์แล้ว

ข้าพเจ้าคิดว่า  คงไม่ได้ยากเย็นแต่อย่างใด



เรื่องการนั่งสมาธินี้

ข้าพเจ้าก็ได้นั่งมาตั้งแต่อายุ   14  ปี

จนนับถึงวันนี้

อายุ  32  ปีแล้ว

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

ข้าพเจ้านั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ

แม้จะขาดบ้างในบางวัน

หรือบางทีติดต่อกันหลายวัน

แต่ก็ไม่เคยห่างหายไปจากการทำสมาธิเลยแม้แต่น้อย

พยายามทำให้มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ 

จนรู้สึกว่า  ในปัจจุบันนี้

ข้าพเจ้าได้พัฒนามาจนเป็นที่พอใจ  แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นพอใจที่สุด

จากแต่ก่อน  เริ่มใหม่ ๆ  นั่งได้  5-10  นาที   

ก็เพิ่มมาเป็น  30  นาที

ก็เพิ่มมาเป็น  45  นาที

ก็เพิ่มมาเป็น  1  ชั่วโมง

ก็เพิ่มมาเป็น  1  ชั่วโมง  30  นาที

ก็เพิ่มมาเป็น  2  ชั่วโมง

ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีมาก  สำหรับคนที่ไม่มีเวลาว่างเป็นส่วนตัวมาก

และมีกิจธุระต้องทำมาก  เช่นข้าพเจ้า

โดยเฉพาะในช่วงปีหลัง ๆ  คือ  ช่วง  2-3 ปี  มานี้

ข้าพเจ้าพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว  เพราะนอกจากได้ไปฝึกในสถานที่ที่ดี

แล้ว  ส่วนหนึ่งก็คือ  ข้าพเจ้าได้มีเวลาเป็นส่วนตัวมากขึ้น

เพราะไม่ต้องวุ่นวายเรื่องผู้หญิงผู้ชายมากนัก


สรุปแล้ว  ในชีวิตปีที่  32  ก็ยังมีอีกอย่างหนึ่ง

หรืออีก  2  อย่าง

ที่เป็นการงานในโลก

ที่ควรจะเรียกได้ว่า  ประสบความสำเร็จอีกขั้น

ซึ่งคิดว่า

จะเล่าในบทต่อไป

ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่า  ไม่สำคัญมากนัก

เพราะโดยปกติแล้ว

ข้าพเจ้าก็ให้ความสำคัญกับส่วนนามธรรม  คือ  จิตใจ

ซึ่งมีคุณค่ามากกว่าวัตถุใด ๆ  ในโลก


Arty
04/11/2559

 

ไม่มีความคิดเห็น: