ซื้อ E-BOOK

Thumbnail Seller Link
การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง
ธัชชัย ธัญญาวัลย
www.mebmarket.com
คุณจะสำรวจลึกลงไปในสิ่งต่าง ๆ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านถ้อยคำ ที่กรองประกอบขึ้นเป็นหนังสือเล่มนี้ “การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง” กวีนิพนธ์เชิ...
Get it now

งานรับปริญญา ( 2 )


มาต่อเรื่องงานรับปริญญา

ความจริงช่วงนี้ข้าพเจ้ายุ่งมาก

ความจริงเมื่อคืน  ( คืนวันที่  10  มกราคม  2558 )

น้องนุ่งโทรมาชวนไปเที่ยวหัวหิน

( ข้าพเจ้านอนแล้ว-นอนเร็วเพราะตื่นเช้ามาก....)

คือไปวันนี้  ( ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ )  กลับวันจันทร์

แต่เนื่องจากวันนี้ข้าพเจ้าต้องทำงาน

และ

ความจริงกว่าก็คือ  ไม่ใช่ติดว่าทำงานทำการอะไรหรอก

ความจริงของความจริงก็คือ  ข้าพเจ้าจะต้องไปเชียงใหม่พรุ่งนี้

นึกเสียดายไม่ได้ไปเที่ยวหัวหิน

ไปฟรี  กินฟรี  นอนโรงแรมไฮโซ  

เนื่องจากคุณน้องแกทำงานเกี่ยวกับการจองโรงแรม

แต่ความจริงที่สุดก็คือว่า  วันนี้ไปทำงาน

หมออีกคนลากะทันหัน  เป็นอันว่า

ข้าพเจ้าต้องทำงานงก ๆ  ตั้งแต่เช้ายันเย็น

นี่ถ้าไม่ใช่มีคิวต้องไปเชียงใหม่

วันนี้ที่คลินิกคงวุ่นวายพิลึก


พูดเรื่องไปเชียงใหม่

เพิ่งจองตั๋วตอนบ่าย

ร่ำ ๆ  ว่าจะไม่มีเวลาจองเสียด้วย

เพราะงานเยอะมาก....


พูดเรื่องงานรับปริญญาต่อ

ลืมไปแล้วว่า  เมื่อวานนี้พูดไปถึงไหน

ซึ่งนั่นก็ช่างหัวมันเถอะ

ประเด็นก็คือ

ข้าพเจ้าไม่ได้ออกไปไหนมาไหน

มานานมากแล้ว

โดยเฉพาะงานรื่นเริง

งานรับปริญญานี่ถือว่าเป็นเทศกาลรื่นเริงอย่างหนึ่ง

จะมีเสียงกลองเสียงร้องเสียงรำระงำระงม

เสียงบูม  เสียงเฮฮา  ใบหน้าผู้มาร่วมงาน

และผู้อยู่ในงาน

ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เห็นแล้วก็อดที่จะชุ่มชื่นใจไปกับเขาด้วยไม่ได้


ข้าพเจ้าเดินจากโรงอาหารกลาง 2  ไปจนถึงคณะวิศวะ

จริง ๆ  ถ้าเดินจากถนนตรงไปเรื่อย ๆ  มันก็ถึงกันเลย

ง่ายมาก ๆ  

แต่เนื่องจากข้าพเจ้าไม่รู้  ( มารู้เอาอีตอนเดินกลับ )

จึงเดินอ้อมไปทางคณะสังคมศาสตร์

ป้าคนหนึ่งจำเพาะเจาะจงถามข้าพเจ้าว่า

หนู ๆ  คณะมนุษย์ไปทางไหน

ซึ่งหากข้าพเจ้านึกอยากจัญไรแกล้งแกขึ้นมา

ก็คงตอบชัดถ้อยชัดคำว่าเดินไปทางนั้นทางนี้นะครับนะ

แต่เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนดี ( หุหุ )

จึงพูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่า

ไม่รู้เหมือนกันครับ  แหะ ๆ  ( ยิ้มให้อย่างสวยงาม )

พร้อมกับนึกในใจว่า  ผมก็หาทางไปคณะวิศวะอยู่เนี่ย

จริงแล้วคณะมนุษย์  ก็เลยคณะสังคมศาสตร์ไปหน่อยเดียวนั่นเอง

( มารู้ตอนหลังอีกแล้ว )

ข้าพเจ้าเป็นโรคอะไรสักอย่างหนึ่ง

คือชอบมีคนถามทาง

ไม่ใช่แต่คนไทย  ฝรั่งมังค่า  หรือญี่ปุ่น  จีน  เกาหลี  

แม้กระทั่งแอฟริกัน  ยันมนุษย์ต่างดาว

ก็ชอบถามทางข้าพเจ้า

ราวกับว่า  หน้าตาของข้าพเจ้านั้นปรากฏรูปแผนที่  

หรือมีนิมิตแห่งความเป็นผู้รู้สว่างไสวอยู่  อย่างไรอย่างนั้นแหละ

T_T


ไปถึงคณะวิศวะ  ก็ใช่ว่าจะเจอกันได้ง่าย ๆ  

ต้องโทรศัพท์หากันอีก

นึกถึงสมัยก่อน  มันคงยากเย็นเหมือนกันสำหรับจะหาใครสักคน

ในงานวันรับปริญญา

เพราะไม่มีโทรศัพท์มือถือ

ยิ่งหาผู้หญิงนี่ยิ่งหายาก

เพราะแต่งหน้าทาปากกันเข้าแล้ว

ไม่เอ่ยปากก็ยากจะบอกว่า

นี่คือมึงจริง ๆ ใช่มั้ย

อะไรทำนองนั้น


ข้าพเจ้าได้รับรู้ว่า  เพื่อนไม่ได้จ้างช่างภาพมาถ่ายรูป

ก็นึกเสียใจ  ทำไมไม่บอก

นี่ถ้าบอกจะมาถ่ายให้ฟรีเลย

5555

ก็ถ่ายกันด้วยกล้องคอมแพ็ค  และกล้องมือถือ

ไม่รู้ในรอบกี่ปี

ที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสัมผัสกล้องคอมแพ็คอีกครั้งหนึ่ง

พยายามอย่างยิ่งที่จะหาแสงหามุมและจัดองค์ประกอบให้ดีงาม

เท่าที่ความสามารถจะทำได้

นึก ๆ  ไป  ก็เลยเถิดถึงรายการพวกที่ชอบเอากล้องติงต๊อง

ไปท้าช่างภาพระดับเทพ

ซึ่งแน่นอนว่า  ข้าพเจ้าไม่ใช่ช่างภาพระดับเทพ

และกล้องในมือก็คือกล้องคอมแพ็ค  

ซึ่งดีกว่ากล้องติงต๊องในรายการพวกนั้นเยอะ

จึงอดหวั่นไหวไม่ได้กับภาพที่จะออกมาหลังกดชัตเตอร์

5555


อาจจะเป็นเพราะเป็นปริญญาใบที่สองแล้วก็ได้

เขาจึงไม่กระตือรือร้นเรื่องถ่ายรูปนัก

หรือว่าความจริง  เขาไม่กระตือรือร้นเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้

เคยมีหญิงสาว (แสนสวย, -สำหรับข้าพเจ้า) คนหนึ่ง

กล่าวกับข้าพเจ้าว่า

แค่ได้ถ่ายกับคนที่เราอยากถ่ายด้วยก็พอ

สำหรับการถ่ายรูปรับปริญญา

แต่ก็ไม่วายจะทิ้งท้ายว่า

ไม่แน่เหมือนกัน  พอถึงเวลานั้นก็อาจจะเสาะแสวงหาช่างภาพเทพ ๆ  

เหมือนคนอื่นก็ได้  5555

( เป็นคนที่พูดจารอบคอบมีเหมือนกันนะ  555 )

ความจริงของความจริงก็คือ

มันกลายเป็นเรื่องบ้าบอไปแล้วกับการถ่ายรูปรับปริญญา

รูปถ่ายกลายเป็นอะไรที่มากกว่าการบันทึกภาพ

แม้ในเหตุการณ์ของปัจเจกชนธรรมดา

เพราะโลกมันก้าวหน้าขึ้น

เทคโนโลยีมันดีขึ้น

แท้แล้ว

เรื่องอย่างนี้  มนุษย์แอนตี้สังคมอย่างข้าพเจ้า

ก็เคยมีความคิดว่า

จะไม่ขึ้นรับปริญญาบัตร

แต่คิดไปคิดมา

เราก็ต้องคิดถึงคนอื่นรอบ ๆ  ตัวเรา

เราจะยึดตัวเราเป็นหลักตามคติความเชื่อ

ที่เราคิดว่า  มันเป็นปรมัตถ์  สำหรับเราอยู่คนเดียว

ก็คงได้  

แต่เมื่อนึกย้อนไปย้อนมา

มันกลับจะกลายเป็นอดีตที่ทิ่มตำเราและคนข้าง ๆ  เสียมากกว่า

ข้าพเจ้าจึงยอมทำอะไรตามสังคมที่มันต้องเป็นไป

แม้ว่าในใจจะไม่อยากทำนักก็ตาม

แต่ความจริงแล้ว

หากเรารู้ว่า  ในจิตใจเราเป็นอย่างไร

ต่อให้เราทำตามสังคม  หรือทำตามที่คนอื่นทำ

มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับแนวความคิดเดิมแท้ของเราแม้แต่น้อย

ถ้าเรามีความมั่นคงเพียงพอ

อย่างที่เขาเรียกว่า  "อะลุ้มอล่วย"

ถ้าในทางปฏิบัติ  มันไม่ได้ขัดแย้งอะไรกันมาก

ก็อะลุ้มอล่วยกันไป

แต่ก็ไม่ได้ได้ชื่นชิดพิสมัยอะไรนัก

รักษาใจของเราให้เป็นปกติ

ก็แล้วกัน


ตอนงานวันรับปริญญาข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าแทบไม่ได้หาช่างภาพ

แต่พอนึก ๆ  ขึ้นมาได้

ก็ต้องหาในวันใกล้ ๆ  แล้ว

พอดีรู้จักน้องคนหนึ่งสนิทกัน

ถามเขาว่า  มีช่างภาพหรือเปล่า

( เพราะรับปริญญาพร้อมกัน, อยู่คนละคณะ )

เขาว่า  มีอยู่สองคน  เดี๋ยวแบ่งให้คนหนึ่ง

ข้าพเจ้าก็รับ ๆ  เอามา

ไม่ได้เข้าไปหาช่างภาพเทพ ๆ  ในเน็ตแต่อย่างใด

คือ  เอาใครก็ได้  ที่เขาถ่ายรูปเป็นประจำอยู่แล้ว

ว่างั้นเถอะ

ถ่ายภาพธรรมดา ๆ  ไม่ต้องพิเศษหรูหราอะไร

อยากให้มันเป็นบันทึกความทรงจำแค่นั้นก็พอ

และข้าพเจ้าก็มีกล้องอยู่แล้วอีกตัวหนึ่ง

ก็ยกให้น้องคนหนึ่งเขามาถ่ายให้ด้วย

แค่นั้นก็พอ

ก็แปลกดีเหมือนกัน

ทั้งที่ข้าพเจ้าเป็นนักถ่ายภาพ

กลับมีความคิดอย่างนี้

แต่ความจริงก็คือ  ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ชอบถูกถ่ายรูปนัก

ชอบแต่ถ่ายคนอื่น,  สิ่งอื่น

ด้วยเหตุนี้  จึงไม่ค่อยมีรูปดี ๆ  กับเขาสักเท่าไหร่

เพราะเป็นคนไม่ค่อยชอบถูกถ่ายรูป





อันนี้ถ่ายจากกล้องมือถือ

"อะลุ้มอล่วย"

5555


มีเรื่องอยากพูดถึงเกี่ยวกับงานรับปริญญาอีกหน่อยหนึ่ง

ตอนต่อไปเนอะ

ต้องรีบนอน

เดี๋ยวพรุ่งนี้บินไปเชียงใหม่

ไปเช้าเย็นกลับ

เรื่องธุระการงานนั่นหละครับ

สมัยนี้อะไร ๆ  มันก็ช่างง่ายดาย



เอวังไว้ก่อน


Arty K
11  01  2558