มาต่อเรื่องงานรับปริญญา
ความจริงช่วงนี้ข้าพเจ้ายุ่งมาก
ความจริงเมื่อคืน ( คืนวันที่ 10 มกราคม 2558 )
น้องนุ่งโทรมาชวนไปเที่ยวหัวหิน
( ข้าพเจ้านอนแล้ว-นอนเร็วเพราะตื่นเช้ามาก....)
คือไปวันนี้ ( ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ) กลับวันจันทร์
แต่เนื่องจากวันนี้ข้าพเจ้าต้องทำงาน
และ
ความจริงกว่าก็คือ ไม่ใช่ติดว่าทำงานทำการอะไรหรอก
ความจริงของความจริงก็คือ ข้าพเจ้าจะต้องไปเชียงใหม่พรุ่งนี้
นึกเสียดายไม่ได้ไปเที่ยวหัวหิน
ไปฟรี กินฟรี นอนโรงแรมไฮโซ
เนื่องจากคุณน้องแกทำงานเกี่ยวกับการจองโรงแรม
แต่ความจริงที่สุดก็คือว่า วันนี้ไปทำงาน
หมออีกคนลากะทันหัน เป็นอันว่า
ข้าพเจ้าต้องทำงานงก ๆ ตั้งแต่เช้ายันเย็น
นี่ถ้าไม่ใช่มีคิวต้องไปเชียงใหม่
วันนี้ที่คลินิกคงวุ่นวายพิลึก
พูดเรื่องไปเชียงใหม่
เพิ่งจองตั๋วตอนบ่าย
ร่ำ ๆ ว่าจะไม่มีเวลาจองเสียด้วย
เพราะงานเยอะมาก....
พูดเรื่องงานรับปริญญาต่อ
ลืมไปแล้วว่า เมื่อวานนี้พูดไปถึงไหน
ซึ่งนั่นก็ช่างหัวมันเถอะ
ประเด็นก็คือ
ข้าพเจ้าไม่ได้ออกไปไหนมาไหน
มานานมากแล้ว
โดยเฉพาะงานรื่นเริง
งานรับปริญญานี่ถือว่าเป็นเทศกาลรื่นเริงอย่างหนึ่ง
จะมีเสียงกลองเสียงร้องเสียงรำระงำระงม
เสียงบูม เสียงเฮฮา ใบหน้าผู้มาร่วมงาน
และผู้อยู่ในงาน
ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เห็นแล้วก็อดที่จะชุ่มชื่นใจไปกับเขาด้วยไม่ได้
ข้าพเจ้าเดินจากโรงอาหารกลาง 2 ไปจนถึงคณะวิศวะ
จริง ๆ ถ้าเดินจากถนนตรงไปเรื่อย ๆ มันก็ถึงกันเลย
ง่ายมาก ๆ
แต่เนื่องจากข้าพเจ้าไม่รู้ ( มารู้เอาอีตอนเดินกลับ )
จึงเดินอ้อมไปทางคณะสังคมศาสตร์
ป้าคนหนึ่งจำเพาะเจาะจงถามข้าพเจ้าว่า
หนู ๆ คณะมนุษย์ไปทางไหน
ซึ่งหากข้าพเจ้านึกอยากจัญไรแกล้งแกขึ้นมา
ก็คงตอบชัดถ้อยชัดคำว่าเดินไปทางนั้นทางนี้นะครับนะ
แต่เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนดี ( หุหุ )
จึงพูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่า
ไม่รู้เหมือนกันครับ แหะ ๆ ( ยิ้มให้อย่างสวยงาม )
พร้อมกับนึกในใจว่า ผมก็หาทางไปคณะวิศวะอยู่เนี่ย
จริงแล้วคณะมนุษย์ ก็เลยคณะสังคมศาสตร์ไปหน่อยเดียวนั่นเอง
( มารู้ตอนหลังอีกแล้ว )
ข้าพเจ้าเป็นโรคอะไรสักอย่างหนึ่ง
คือชอบมีคนถามทาง
ไม่ใช่แต่คนไทย ฝรั่งมังค่า หรือญี่ปุ่น จีน เกาหลี
แม้กระทั่งแอฟริกัน ยันมนุษย์ต่างดาว
ก็ชอบถามทางข้าพเจ้า
ราวกับว่า หน้าตาของข้าพเจ้านั้นปรากฏรูปแผนที่
หรือมีนิมิตแห่งความเป็นผู้รู้สว่างไสวอยู่ อย่างไรอย่างนั้นแหละ
T_T
ไปถึงคณะวิศวะ ก็ใช่ว่าจะเจอกันได้ง่าย ๆ
ต้องโทรศัพท์หากันอีก
นึกถึงสมัยก่อน มันคงยากเย็นเหมือนกันสำหรับจะหาใครสักคน
ในงานวันรับปริญญา
เพราะไม่มีโทรศัพท์มือถือ
ยิ่งหาผู้หญิงนี่ยิ่งหายาก
เพราะแต่งหน้าทาปากกันเข้าแล้ว
ไม่เอ่ยปากก็ยากจะบอกว่า
นี่คือมึงจริง ๆ ใช่มั้ย
อะไรทำนองนั้น
ข้าพเจ้าได้รับรู้ว่า เพื่อนไม่ได้จ้างช่างภาพมาถ่ายรูป
ก็นึกเสียใจ ทำไมไม่บอก
นี่ถ้าบอกจะมาถ่ายให้ฟรีเลย
5555
ก็ถ่ายกันด้วยกล้องคอมแพ็ค และกล้องมือถือ
ไม่รู้ในรอบกี่ปี
ที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสัมผัสกล้องคอมแพ็คอีกครั้งหนึ่ง
พยายามอย่างยิ่งที่จะหาแสงหามุมและจัดองค์ประกอบให้ดีงาม
เท่าที่ความสามารถจะทำได้
นึก ๆ ไป ก็เลยเถิดถึงรายการพวกที่ชอบเอากล้องติงต๊อง
ไปท้าช่างภาพระดับเทพ
ซึ่งแน่นอนว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่ช่างภาพระดับเทพ
และกล้องในมือก็คือกล้องคอมแพ็ค
ซึ่งดีกว่ากล้องติงต๊องในรายการพวกนั้นเยอะ
จึงอดหวั่นไหวไม่ได้กับภาพที่จะออกมาหลังกดชัตเตอร์
5555
อาจจะเป็นเพราะเป็นปริญญาใบที่สองแล้วก็ได้
เขาจึงไม่กระตือรือร้นเรื่องถ่ายรูปนัก
หรือว่าความจริง เขาไม่กระตือรือร้นเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้
เคยมีหญิงสาว (แสนสวย, -สำหรับข้าพเจ้า) คนหนึ่ง
กล่าวกับข้าพเจ้าว่า
แค่ได้ถ่ายกับคนที่เราอยากถ่ายด้วยก็พอ
สำหรับการถ่ายรูปรับปริญญา
แต่ก็ไม่วายจะทิ้งท้ายว่า
ไม่แน่เหมือนกัน พอถึงเวลานั้นก็อาจจะเสาะแสวงหาช่างภาพเทพ ๆ
เหมือนคนอื่นก็ได้ 5555
( เป็นคนที่พูดจารอบคอบมีเหมือนกันนะ 555 )
ความจริงของความจริงก็คือ
มันกลายเป็นเรื่องบ้าบอไปแล้วกับการถ่ายรูปรับปริญญา
รูปถ่ายกลายเป็นอะไรที่มากกว่าการบันทึกภาพ
แม้ในเหตุการณ์ของปัจเจกชนธรรมดา
เพราะโลกมันก้าวหน้าขึ้น
เทคโนโลยีมันดีขึ้น
แท้แล้ว
เรื่องอย่างนี้ มนุษย์แอนตี้สังคมอย่างข้าพเจ้า
ก็เคยมีความคิดว่า
จะไม่ขึ้นรับปริญญาบัตร
แต่คิดไปคิดมา
เราก็ต้องคิดถึงคนอื่นรอบ ๆ ตัวเรา
เราจะยึดตัวเราเป็นหลักตามคติความเชื่อ
ที่เราคิดว่า มันเป็นปรมัตถ์ สำหรับเราอยู่คนเดียว
ก็คงได้
แต่เมื่อนึกย้อนไปย้อนมา
มันกลับจะกลายเป็นอดีตที่ทิ่มตำเราและคนข้าง ๆ เสียมากกว่า
ข้าพเจ้าจึงยอมทำอะไรตามสังคมที่มันต้องเป็นไป
แม้ว่าในใจจะไม่อยากทำนักก็ตาม
แต่ความจริงแล้ว
หากเรารู้ว่า ในจิตใจเราเป็นอย่างไร
ต่อให้เราทำตามสังคม หรือทำตามที่คนอื่นทำ
มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับแนวความคิดเดิมแท้ของเราแม้แต่น้อย
ถ้าเรามีความมั่นคงเพียงพอ
อย่างที่เขาเรียกว่า "อะลุ้มอล่วย"
ถ้าในทางปฏิบัติ มันไม่ได้ขัดแย้งอะไรกันมาก
ก็อะลุ้มอล่วยกันไป
แต่ก็ไม่ได้ได้ชื่นชิดพิสมัยอะไรนัก
รักษาใจของเราให้เป็นปกติ
ก็แล้วกัน
ตอนงานวันรับปริญญาข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าแทบไม่ได้หาช่างภาพ
แต่พอนึก ๆ ขึ้นมาได้
ก็ต้องหาในวันใกล้ ๆ แล้ว
พอดีรู้จักน้องคนหนึ่งสนิทกัน
ถามเขาว่า มีช่างภาพหรือเปล่า
( เพราะรับปริญญาพร้อมกัน, อยู่คนละคณะ )
เขาว่า มีอยู่สองคน เดี๋ยวแบ่งให้คนหนึ่ง
ข้าพเจ้าก็รับ ๆ เอามา
ไม่ได้เข้าไปหาช่างภาพเทพ ๆ ในเน็ตแต่อย่างใด
คือ เอาใครก็ได้ ที่เขาถ่ายรูปเป็นประจำอยู่แล้ว
ว่างั้นเถอะ
ถ่ายภาพธรรมดา ๆ ไม่ต้องพิเศษหรูหราอะไร
อยากให้มันเป็นบันทึกความทรงจำแค่นั้นก็พอ
และข้าพเจ้าก็มีกล้องอยู่แล้วอีกตัวหนึ่ง
ก็ยกให้น้องคนหนึ่งเขามาถ่ายให้ด้วย
แค่นั้นก็พอ
ก็แปลกดีเหมือนกัน
ทั้งที่ข้าพเจ้าเป็นนักถ่ายภาพ
กลับมีความคิดอย่างนี้
แต่ความจริงก็คือ ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ชอบถูกถ่ายรูปนัก
ชอบแต่ถ่ายคนอื่น, สิ่งอื่น
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ค่อยมีรูปดี ๆ กับเขาสักเท่าไหร่
เพราะเป็นคนไม่ค่อยชอบถูกถ่ายรูป
อันนี้ถ่ายจากกล้องมือถือ
"อะลุ้มอล่วย"
5555
มีเรื่องอยากพูดถึงเกี่ยวกับงานรับปริญญาอีกหน่อยหนึ่ง
ตอนต่อไปเนอะ
ต้องรีบนอน
เดี๋ยวพรุ่งนี้บินไปเชียงใหม่
ไปเช้าเย็นกลับ
เรื่องธุระการงานนั่นหละครับ
สมัยนี้อะไร ๆ มันก็ช่างง่ายดาย
เอวังไว้ก่อน
Arty K
11 01 2558