ต้องออกตัวก่อนว่า ที่จะเขียนต่อไปนี้ สแปม ( เอ้ย! สปอยล์!!!! ) นะครัช
เรื่องมันมีอยู่ว่า
ทสึคุรุ ทะซากิ พระเอกของเรา เป็นชายหนุ่มอายุสามสิบหกปี ( ถ้าจำไม่ผิด )
และมีอดีตอันข่มขืน ( ขมขื่น!!! ) เกี่ยวกับความหลังเมื่อครั้งยังเยาว์
คือเมื่อสิบหกปีที่แล้ว
สิบหกปีแห่งความหลังได้ทำร้ายทสึคุรุ อยู่ร่ำเรื่อย
จนส่งผลให้เขาไม่อาจมีชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติได้
และที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยน
ก็คือ อยู่ ๆ ตอนจะเอากับแฟน ก็เกิดอาการอ่อนปวกเปียกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
สาละ ( ชื่อแฟน ) ก็เลยวินิจฉัยว่า เป็นเพราะอดีตอันขมขื่นของเขานั่นเอง
ที่ทำให้เขาเกิดอาการดังกล่าว
ซึ่งเรื่องนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องแก้ไข
หาก มูราคามิ เอ้ย! ทสึคุรุ จะยังอยากคบหากับเธออีกต่อไป
และแล้ว...
ภารกิจเพื่อทำให้อวัยะกลับมาทำงานได้อย่างเป็นปกติดังเดิมก็เริ่มขึ้น
อันนี้น่าจะเป็นพล็อตคร่าว ๆ ที่ข้าพเจ้ามโนขึ้นมาเอง
แต่เรื่องจริง ๆ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ
ถ้า ทสึคุรุ ไม่เกิดอาการอ่อนเปลี้ย ก็คงไม่มีอะไรให้ดำเนินต่อ
เขาก็คงจมจ่อมอยู่กับอดีตต่อไป
ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะเขาเกิด "รัก" สาละ ขึ้นมา
ซึ่งถ้าไม่ใช่ความรักที่มีต่อ สาละ
และเขาอยากจะกระทำกิจนั้นได้อย่างเป็นปกติสุข
เขาก็คงไม่ต้องกลับไป "รื้อฟื้น" อดีตอันขมขื่นนั่นอีก
ว่าด้วยบุคลิกของ ทสึคุรุ
ก็คล้ายคลึงกับ โทรุ วาตานาเบะ หรือตัวละครเอก ( ชาย ) อื่น ๆ
ของ มูราคามิ
คือ เป็นคนไม่อินังขังขอบ ไม่ชอบสืบค้น ชอบปล่อยผ่าน
เรื่อย ๆ เปื่อย ๆ
ดูเหมือนไม่จริงจัง แต่ชอบจริงจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
หรือได้รับภารกิจให้ทำในเรื่องที่คนทั่วไปเห็นว่า
สิ่งที่(มึง)ต้องทำน่ะ มันสำคัญตรงไหน (วะ)
( เช่น ตามหาแกะบ้า ๆ บอ ๆ ในเรื่อง แกะรอย แกะดาว เป็นต้น )
จะว่าไป ตัวละคร แนวเรื่อง โดยมากของ มูราคามิ ก็ออกมาแนวนี้
คือ เป็นอะไรที่ โพสต์โมเดิร์น
มีความขัดแย้งระหว่างตัวละคร กับ reality
ตัวละครเป็นคนแอบเสิร์ดนิด ๆ
ซึ่งถ้าจะวินิจฉัยตามกรอบคติแบบโมเดิร์น ก็ต้องบอกว่า
ตัวละครของเขาค่อนข้างจะ "ไร้สาระ" และ "บ้าบอ" มากทีเดียว
เป็นคนไม่เอาอ่าว ไม่เอาไหน มีพ่อแม่รวย ( หรือได้แฟนรวย )
ไม่จำเป็นต้องทำงานทำการอะไรมากนัก
แต่ถ้าอยากบ้าทำอะไรขึ้นมาสักสิ่ง ก็จะตั้งใจทำให้ได้
อย่างเช่น ทสึคุรุ เมื่อได้รับคำปรามาสจากอาจารย์ที่ปรึกษา
( ของโรงเรียนมัธยม ) ว่า
น้ำหน้าอย่างเธอไม่มีวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับนั้นได้หรอก
มันก็เกิดบ้าขึ้นมา และตั้งใจอ่านหนังสือ
จนสอบเข้าคณะที่อยากเรียนจนได้
ว่าด้วยตัวละครเอกฝ่ายหญิง ก็ยังคงเป็นแบบมูราคามิ ๆ นั่นคือ
จะมีตัวละครที่ปกติที่หลงรักพระเอกสักคนหนึ่ง
และมีตัวละครโรคจิตอีกสักตัวให้พระเอกหลงรัก
โดยแนวการสร้างตัวละครแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่า เรื่องนี้
"ชายไร้สีกับปีแสวงบุญ" มีความใกล้เคียงกับ
"นอร์วีเจียนวู้ด" อยู่มาก
ถ้าเราจะเทียบ ยุซุกิ (ขาว) กับ นาโอโกะ
และเทียบ เอริ (ดำ) กับ มิโดริ
( ซึ่งแน่นอนว่า เอริ กับ มิโดริ นั้น อาจจะไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่
แค่คล้ายคลึงเท่านั้น แต่ที่แน่ ๆ ทั้งสองนาง ชอบพระเอก )
และเรื่องนี้ก็มีเค้าโครงเหมือนกับ นอร์วีเจียนวู้ด อีกอย่างหนึ่ง
คือ เพลง
ทุกครั้งที่ ทสึคุรุ ฟังเพลง "เลอ มาล ดู เปอี"
ก็จะนึกถึง ยุซุกิ เสมอ
เพราะยุซุกิ ชอบเล่นเพลงนี้
ถ้าใครเคยฟัง "เลอ มาล ดู เปอี" ก็จะรู้สึกได้เลยว่า
เป็นเพลงที่ให้ท่วงทำนองแบบจิต ๆ สไตล์ญี่ปุ่นมาก ๆ
แม้ว่าเพลงนี้จะไม่ใช่ของญี่ปุ่นก็ตาม
มันเข้ากันได้ดีกับบุคลิกของยุซุกิ
และเข้ากันดีกับความเหงาเศร้า หลอนหลอก อ้างว้าง
น่าเบื่อหน่าย และครึ่งเป็นครึ่งตาย ของบรรยากาศในหนังสือเล่มนี้
และ...
ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ ยังไม่เข้าเรื่องเลย
555
และแน่นอน ข้าพเจ้าเริ่มขี้เกียจแล้ว
( ความจริงคือ ตอนนี้ง่วงนอนมากกกก )
และสิ่งที่คาดว่าจะเกิด
ก็คงจะต้องเกิด
คือ
ติดตามกันตอนต่อไปเถอะครับ
5555
Arty K
20 12 2557
เรื่องมันมีอยู่ว่า
ทสึคุรุ ทะซากิ พระเอกของเรา เป็นชายหนุ่มอายุสามสิบหกปี ( ถ้าจำไม่ผิด )
และมีอดีตอันข่มขืน ( ขมขื่น!!! ) เกี่ยวกับความหลังเมื่อครั้งยังเยาว์
คือเมื่อสิบหกปีที่แล้ว
สิบหกปีแห่งความหลังได้ทำร้ายทสึคุรุ อยู่ร่ำเรื่อย
จนส่งผลให้เขาไม่อาจมีชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติได้
และที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยน
ก็คือ อยู่ ๆ ตอนจะเอากับแฟน ก็เกิดอาการอ่อนปวกเปียกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
สาละ ( ชื่อแฟน ) ก็เลยวินิจฉัยว่า เป็นเพราะอดีตอันขมขื่นของเขานั่นเอง
ที่ทำให้เขาเกิดอาการดังกล่าว
ซึ่งเรื่องนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องแก้ไข
หาก มูราคามิ เอ้ย! ทสึคุรุ จะยังอยากคบหากับเธออีกต่อไป
และแล้ว...
ภารกิจเพื่อทำให้อวัยะกลับมาทำงานได้อย่างเป็นปกติดังเดิมก็เริ่มขึ้น
อันนี้น่าจะเป็นพล็อตคร่าว ๆ ที่ข้าพเจ้ามโนขึ้นมาเอง
แต่เรื่องจริง ๆ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ
ถ้า ทสึคุรุ ไม่เกิดอาการอ่อนเปลี้ย ก็คงไม่มีอะไรให้ดำเนินต่อ
เขาก็คงจมจ่อมอยู่กับอดีตต่อไป
ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะเขาเกิด "รัก" สาละ ขึ้นมา
ซึ่งถ้าไม่ใช่ความรักที่มีต่อ สาละ
และเขาอยากจะกระทำกิจนั้นได้อย่างเป็นปกติสุข
เขาก็คงไม่ต้องกลับไป "รื้อฟื้น" อดีตอันขมขื่นนั่นอีก
ว่าด้วยบุคลิกของ ทสึคุรุ
ก็คล้ายคลึงกับ โทรุ วาตานาเบะ หรือตัวละครเอก ( ชาย ) อื่น ๆ
ของ มูราคามิ
คือ เป็นคนไม่อินังขังขอบ ไม่ชอบสืบค้น ชอบปล่อยผ่าน
เรื่อย ๆ เปื่อย ๆ
ดูเหมือนไม่จริงจัง แต่ชอบจริงจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
หรือได้รับภารกิจให้ทำในเรื่องที่คนทั่วไปเห็นว่า
สิ่งที่(มึง)ต้องทำน่ะ มันสำคัญตรงไหน (วะ)
( เช่น ตามหาแกะบ้า ๆ บอ ๆ ในเรื่อง แกะรอย แกะดาว เป็นต้น )
จะว่าไป ตัวละคร แนวเรื่อง โดยมากของ มูราคามิ ก็ออกมาแนวนี้
คือ เป็นอะไรที่ โพสต์โมเดิร์น
มีความขัดแย้งระหว่างตัวละคร กับ reality
ตัวละครเป็นคนแอบเสิร์ดนิด ๆ
ซึ่งถ้าจะวินิจฉัยตามกรอบคติแบบโมเดิร์น ก็ต้องบอกว่า
ตัวละครของเขาค่อนข้างจะ "ไร้สาระ" และ "บ้าบอ" มากทีเดียว
เป็นคนไม่เอาอ่าว ไม่เอาไหน มีพ่อแม่รวย ( หรือได้แฟนรวย )
ไม่จำเป็นต้องทำงานทำการอะไรมากนัก
แต่ถ้าอยากบ้าทำอะไรขึ้นมาสักสิ่ง ก็จะตั้งใจทำให้ได้
อย่างเช่น ทสึคุรุ เมื่อได้รับคำปรามาสจากอาจารย์ที่ปรึกษา
( ของโรงเรียนมัธยม ) ว่า
น้ำหน้าอย่างเธอไม่มีวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับนั้นได้หรอก
มันก็เกิดบ้าขึ้นมา และตั้งใจอ่านหนังสือ
จนสอบเข้าคณะที่อยากเรียนจนได้
ว่าด้วยตัวละครเอกฝ่ายหญิง ก็ยังคงเป็นแบบมูราคามิ ๆ นั่นคือ
จะมีตัวละครที่ปกติที่หลงรักพระเอกสักคนหนึ่ง
และมีตัวละครโรคจิตอีกสักตัวให้พระเอกหลงรัก
โดยแนวการสร้างตัวละครแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่า เรื่องนี้
"ชายไร้สีกับปีแสวงบุญ" มีความใกล้เคียงกับ
"นอร์วีเจียนวู้ด" อยู่มาก
ถ้าเราจะเทียบ ยุซุกิ (ขาว) กับ นาโอโกะ
และเทียบ เอริ (ดำ) กับ มิโดริ
( ซึ่งแน่นอนว่า เอริ กับ มิโดริ นั้น อาจจะไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่
แค่คล้ายคลึงเท่านั้น แต่ที่แน่ ๆ ทั้งสองนาง ชอบพระเอก )
และเรื่องนี้ก็มีเค้าโครงเหมือนกับ นอร์วีเจียนวู้ด อีกอย่างหนึ่ง
คือ เพลง
ทุกครั้งที่ ทสึคุรุ ฟังเพลง "เลอ มาล ดู เปอี"
ก็จะนึกถึง ยุซุกิ เสมอ
เพราะยุซุกิ ชอบเล่นเพลงนี้
ถ้าใครเคยฟัง "เลอ มาล ดู เปอี" ก็จะรู้สึกได้เลยว่า
เป็นเพลงที่ให้ท่วงทำนองแบบจิต ๆ สไตล์ญี่ปุ่นมาก ๆ
แม้ว่าเพลงนี้จะไม่ใช่ของญี่ปุ่นก็ตาม
มันเข้ากันได้ดีกับบุคลิกของยุซุกิ
และเข้ากันดีกับความเหงาเศร้า หลอนหลอก อ้างว้าง
น่าเบื่อหน่าย และครึ่งเป็นครึ่งตาย ของบรรยากาศในหนังสือเล่มนี้
และ...
ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ ยังไม่เข้าเรื่องเลย
555
และแน่นอน ข้าพเจ้าเริ่มขี้เกียจแล้ว
( ความจริงคือ ตอนนี้ง่วงนอนมากกกก )
และสิ่งที่คาดว่าจะเกิด
ก็คงจะต้องเกิด
คือ
ติดตามกันตอนต่อไปเถอะครับ
5555
Arty K
20 12 2557