ภาพนี้ ถ่ายเมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
โดย น้องสาว ลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้า
ครูบาปรัชญา เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับข้าพเจ้า
เกิดก่อนข้าพเจ้า ๕ วัน
คือ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๗
ปีนี้ก็อายุครบ ๓๐ ปี ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ครูบาปรัชญา กับข้าพเจ้า นั้น เป็นเพื่อนรักกัน
ตั้งแต่ชาติปางก่อน
คือก็เป็นเพื่อนกันมาเรื่อย ๆ
ชาตินี้ ก็ได้เป็นพื่อนกันอีก
มาเกิดพร้อมกัน คือปฏิสนธิวิญญาณพร้อม ๆ กัน
ตอนที่มานั้น
ก็ตกลงกันว่า
จะเลือกเอาสถานที่ที่เหมาะสม
คือเป็นปฏิรูปประเทศที่สุดในโลกนี้
นั่นหมายความว่า
เป็นดินแดนที่มีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง
และมีพระอรหันต์ผู้ทรงคุณ
อยู่เป็นจำนวนมากที่สุด
ทั้งเรื่องขนบธรรมเนียม ภาษา วิถีชีวิต
ความเป็นอยู่ สถานะทางเศรษฐกิจ หรืออะไรต่าง ๆ
ก็ให้ใกล้เคียงกับพระท่านมากที่สุด
เพื่อที่ว่า เวลาเราเข้าไปอบรมกับท่าน
จะได้ไม่เคอะเขิน ฟังสิ่งที่ท่านพูดท่านสอนได้อย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง
เรียกง่าย ๆ ว่า มีวัฒนธรรมร่วมแบบเดียวกับท่าน
ซึ่งคำตอบก็คือ จังหวัดอุดรธานี
ครั้นพอมาถึงทางแยก
ครูบาปรัชญา อาจจะชอบทางพญานาค เลยไปเกิดที่ อ. บ้านดุง
อันเป็นแถวถิ่นของพญาศรีสุทโธนาคราช
ส่วนข้าพเจ้าชอบรอยพระพุทธบาท
จึงมาอยู่ที่ อ. บ้านผือ
ซึ่งมีรอยพระพุทธบาท อย่างน้อย ๒ รอย
และเป็นแหล่งอารยธรรมพระพุทธศาสนาในสมัยก่อน
พอเติบโตขึ้นมา ถึงชั้นมัธยมจึงได้พบกัน
ครูบาเป็นฝ่ายมาทักข้าพเจ้าก่อน
ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย
อยู่ดี ๆ ก็เดินมาทางด้านหลัง
แล้วก็ทักทายเรา
จึงได้เป็นเพื่อนสนิทชิดเชื้อกันมาแต่บัดนั้น
จนสุดท้าย ไปเรียนมหาวิทยาลัย
ก็ได้เรียนที่เดียวกันอีก
แต่ต่างคณะ
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนจะล้อ, เลียน กันไปตามวาสนาเก่า
ก่อนที่จะบวชอย่างจริงจัง
ตอนนั้นครูบาท่านยังเป็นหนุ่มแน่น
ทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง
เพิ่งเลิกกับแฟนได้ไม่นาน
ก็มาถามข้าพเจ้าว่า จะบวช
คือ ลาบวช
บวชวัดไหนดี
ข้าพเจ้าก็แนะนำ วัดป่านาคำน้อย
ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่เคยไปเลย ในตอนนั้น
ครูบาก็เที่ยวเสาะหาอยู่หลายที่เหมือนกัน
แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจบวชที่นี่
พอบวชเสร็จ ลาสิกขา
ก็พอดีข้าพเจ้าชีวิตลงตัว
จึงได้ไปวัดป่านาคำน้อยด้วยกัน
ไปครั้งแรกด้วยรถโยโกะ คันเก่าของข้าพเจ้า
หมอกหนามากเพราะเป็นหน้าหนาว
มองแทบไม่เห็นทาง
อันนี้เป็นจุดเริ่ม ซึ่งก็ผ่านมาแล้วประมาณ เกือบ ๕ ปี
และตอนนี้ครูบาก็ได้บวชเป็นครั้งที่ ๒
เป็นการบวชแบบไม่มีกำหนดลาสิกขา
เล่าเล่น ๆ อำ ๆ โปรดอย่าถือว่าเป็นจริงเป็นจัง
แท้แล้ว ชาติก่อนหนหลัง ข้าพเจ้าก็ไม่รู้หรอก
อำกันเล่นเท่านั้น
กระนั้นก็มีคนชอบถามถึงเรื่องเนื้อคู่
วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
ตอนไปวัด ครูบาที่วัดหลายท่านก็แซวว่า
อ้าว นี่พาแฟนใหม่มาเหรอ
ข้าพเจ้าก็บอกว่า หามิได้ครับ อันนี้เป็นลูกพี่ลูกน้อง
มิน่า หน้าตาเหมือนกัน ท่านว่า
ครูบาเจ๊กก็แซว บอก เมื่อไหร่จะมีแฟนใหม่ซักที
คือ ที่วัดเหมือนเป็นครอบครัวหนึ่งของข้าพเจ้า
ครูบาหลายท่านก็สนิทสนมกัน
มีเรื่องอะไรก็รู้กันหมด
เรื่องเลิกกับแฟนนี่เป็นที่รับรู้ตั้งแต่ตอนที่ข้าพเจ้าไปทำบุญวันแม่
แต่ตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่ทราบ
เพราะท่านไม่อยู่วัด ไปงานที่วัดป่าบ้านตาด
( ตามธรรมเนียม, แม้หลวงตาจะไม่อยู่แล้ว แต่วันที่ ๑๒ สิหาคม
ก็ถือว่าเป็นงานบุญใหญ่ ของวัดป่าบ้านตาด เพราะเป็นวันเกิดหลวงตา )
นั่งสนทนาธรรมกับครูบาวิทย์ หลังศาลา หลังจากท่านฉันเสร็จ
ข้าพเจ้าจัดการบริขารท่านเรียบร้อย
ก็นั่งรออยู่
ท่านว่า คนใหม่ไป เดี๋ยวคนเก่าก็เข้ามา
หมายถึงเนื้อคู่ที่เคยเป็นคู่กันแต่ปางก่อน จะเข้ามา
เมื่อคนใหม่ ( คือคนที่เพ่ิงเลิกกันไป ) จากไป
ท่านอธิบายความว่าอย่างนั้น
ข้าพเจ้าก็ฟัง อาจจะหมายความว่า
คนที่เป็นเนื้อคู่กันแต่ก่อนนั้นคือคนเก่าเป็นคู่กันจริง ๆ
แต่คนที่มาก่อน อาจจะเป็นคนใหม่ที่ไม่ใช่คนดั้งเดิมแท้แต่ก่อนมา
อืมมม... พูดไปก็วกวน
ข้าพเจ้ากล่าวตอบท่านว่า
แล้วแต่บุญทำกรรมแต่งเถอะครับ ตอนนี้ก็อยู่เฉย ๆ ไม่แสวงหาอะไรแล้ว
ถ้าอะไรจะไปหรืออะไรจะมา ก็ขอให้เป็นเรื่องที่เคยทำแต่หนหลัง
หลังจากนั้นครูบาปรัชญาก็เข้ามานั่งสนทนาด้วย
ครู่หนึ่งก่อนจะแยกย้าย
ข้าพเจ้าขึ้นไปพบหลวงพ่อ
ครูบาวิทย์ไปจัดการลิง
รู้สึกวันนั้นลิงจะเยอะเหลือเกิน
เข้ามาวุ่นวายเต็มไปหมด
ไม่รู้เป็นอะไร
พอไปกราบหลวงพ่อ
ท่านก็ถามว่าแฟนไม่มาด้วยหรือ
ข้าพเจ้าก็บอกว่า
เลิกกันไปแล้วครับ
เขามีคนใหม่
ท่านก็ดูเหมือนอึ้งไปสักพัก
ความจริงตอนเช้า
ก่อนออกไปบิณฑบาต
เนื่องจากข้าพเจ้าไปถึงเร็ว
หลวงพ่อท่านขึ้นมาแต่งตัวบนศาลา
ท่านเห็น ท่านก็ถามว่า
อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่
ข้าพเจ้าตอบว่า
เมื่อวานครับ
วันนี้มากันกี่คน
ท่านถาม
ท่านมักจะถามอย่างนี้เสมอ
คือ มากันกี่คน
๔ คนครับ
ข้าพเจ้าตอบ
หลวงพ่อท่านนิ่งไปพักหนึ่ง
มองด้วยความเมตตา แล้วท่านก็ว่า
อย่างนี้เราก็อกหักสิ
ข้าพเจ้าหัวเราะ
แล้วท่านก็ถามว่า
สงสัยหมอกับทนายความนี่จะไม่ถูกกัน
555
จากนั้นท่านก็ถามรายละเอียด
เช่น แฟนใหม่เขาเป็นใคร เรื่องราวเป็นอะไรยังไง
ข้าพเจ้าก็เล่าให้ฟัง
เท่าที่รู้ที่ทราบ
สุดท้ายท่านก็ถามว่า
ตอนนี้เป็นยังไง
ข้าพเจ้าก็ตอบ
สบายดีแล้วครับ ไม่เป็นอะไรแล้ว
อยู่คนเดียว สบายดี
ท่านก็ว่า
เออ อยู่คนเดียวก็สบายดี
ถ้าถึงที่สุดแล้วก็มาบวชเป็นพระ
ประโยคหลังท่านพูดเสียงเบา
ข้าพเจ้าไม่ตอบว่ากระไร
เรื่องเนื้อคู่ข้าพเจ้าก็เคยคิดเล่น ๆ
ก่อนที่จะมาเกิดข้าพเจ้าก็บอกว่า
ให้เขารอก่อน อย่าเพิ่งมา ให้ข้าพเจ้ามาเกิดก่อน
แล้วที่ที่เขาจะมาเนี่ย
อย่าเลือกสถานที่ตามข้าพเจ้า
ให้เลือกที่ดี ๆ เพราะเป็นผู้หญิง
จะมาลำบากอัตคัตเหมือนผู้ชายนั้นมันไม่เหมาะ
แต่อย่างไรก็ขอให้เลือกครอบครัวที่นับถือพุทธศาสนาอยู่บ้าง
บุญอันที่ทำไว้แล้วย่อมนำพาให้เราเลือกเกิดได้ตามสมควรแก่ฐานะ
เขาก็ว่า
แล้วจะได้เจอกันได้ยังไง
ข้าพเจ้าบอก
เจอสิ เดี๋ยวพอถึงเวลาแล้ว
ก็จะเดินทางไปหาเอง ไม่ต้องห่วง
ถ้าเดินทางมาแล้วคลาดกันจะทำยังไง
เขาว่าอีก
ไม่คลาดแน่นอน ถ้าจะคลาดกัน
ก็ขอให้มีเหตุจำเป็นต้องอยู่จนได้เจอกันก่อน
ทำความรู้จักมักคุ้นกันก่อน
จะรอจนกว่าจะได้พบกัน
จากนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที
ข้าพเจ้าพูดให้คำมั่นสัญญา
ทีนี้ก็กลัวว่าจะจำกันไม่ได้
เขาบอกว่า
ถ้าเจอแล้วจำกันไม่ได้จะทำยังไง
จำได้แน่นอน ข้าพเจ้าว่า ยังไงก็จำได้
เพราะเกิดด้วยกันมาเยอะ, บ่อยมากแล้ว
แต่เขาก็ไม่มั่นใจ
ข้าพเจ้าเลยหอมแก้ม ประทับไว้เป็นสัญลักษณ์
เดี๋ยวพอไปเกิดใหม่แล้ว เห็นรอยที่หอมแก้มนี้ ก็จะจำได้
ไม่ต้องกลัว ข้าพเจ้าบอก
รอยหอมแก้มในชาติก่อน เลยกลายมาเป็นลักยิ้มในชาตินี้
และข้าพเจ้าก็จำได้
แต่เธอจะจำข้าพเจ้าได้หรือเปล่า
อันนี้ไม่รู้
5555
อันนี้ก็เล่าเล่น ๆ อำกันอีกนั่นแหละ
ตามประสาคนว่างงาน
5555
ยังมีเรื่องวันที่ ๗ พฤศจิกายน อีกวันหนึ่ง
เดี๋ยวจะเล่าตอนหลัง
วันนี้เอวังแต่เท่านี้ก่อน
Arty K.
10 11 2557
15.35 น.