ความจริงคนเราอาจมีวันเกิดหลายวัน
ถ้านับตามระบบหลายระบบ
ถ้านับแค่ระบบจันทรคติ กับสุริยคติ
ก็จะมีวันเกิดสองวัน
ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้ค้นคว้ามาว่า ทุกกี่ปี
เราจึงจะมีวันเกิดเวียนมาบรรจบตรงกันทั้งสองระบบสักครั้งหนึ่ง
แต่ที่แน่ ๆ ถ้าจะหาวันที่เราเกิดและตรงกันจริง ๆ
ทุก ๆ อย่างเป๊ะ ๆ ยิ่งจะหายาก
เพราะ ต้องมีวันที่ วัน เดือน ปีนักษัตร และวันตามจันทรคติ
พูดไปก็งง ๆ
อย่างเช่น คนที่เกิดวันอาทิตย์ที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๗ ปีชวด
ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ นั้น
ไม่รู้ว่ากี่ปี วันเช่นนี้จึงจะเวียนมาตรงกันทั้งหมดสักครั้งหนึ่ง
( หมายถึงทุกอย่างยกเว้น พ.ศ. )
เพราะอย่างที่เรารู้กัน เอาแค่ วันที่ ๔ พฤศจิกายน นั้น
แต่ละปี ก็ใช่ว่าจะตรงกับวันอาทิตย์
และยิ่งยาก ที่จะตรงกับวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒
ปีนี้ วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
ซึ่งเป็นวันลอยกระทง
วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ก็จะตรงกับวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒
ซึ่งไม่ตรงกับวันอาทิตย์แน่ ๆ และไม่ตรงกับปีชวด
และไม่แน่ว่า ปีที่เป็นปีชวด หรือที่เรียกกันว่าปีครบ "รอบ" นั้น
จะตรงกับปฏิทินทางจันทคติหรือเปล่า
สรุปถ้าเราจะนับรอบวันเกิดตามระบบสุริยะคติ
เราก็จะได้วันเกิดวันหนึ่ง
และเมื่อเรานับรอบตามระบบจันทรคติ
ก็จะได้อีกวันหนึ่ง
อย่างปีนี้ วันครบรอบวันเกิดตามสุริยคติของข้าพเจ้า
จะตรงกับวันอังคาร ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
(ซึ่งความจริงแล้วข้าพเจ้าเกิดวันอาทิตย์)
แต่ถ้านับตามระบบจันทรคติ
คือ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒
จะตรงกับวันจันทร์ ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า ข้าพเจ้าจะมีอายุขึ้นต้นด้วยเลข ๓ นำหน้าแล้ว
คือ เริ่มที่ ๓๐ ปี
รู้สึกแปลก ๆ ที่จะอายุ ๓๐
ข้าพเจ้ายังนึกว่า ตัวเองเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ
หรือมักคิดว่า ตัวเองมีอายุ ๒๗ ปี อยู่เสมอ
เวลาที่เห็นใครมี พ.ศ. เกิดที่นำหน้าด้วย ๒๕๒...
ก็มักจะนึกว่าเขายังหนุ่มสาว
หากไม่เหลือบมาเห็นตัวเลขบอกอายุ
หรือคิดคำนวณอายุเป็นตัวเเลข
แน่นอนว่า ข้าพเจ้ามักมองคนที่ พ.ศ. เกิด ที่นำหน้าด้วย
๒๕๓... เป็นคนอายุน้อย
ทั้งที่ความจริง พวกเขาส่วนหนึ่งก็เรียนจบมหาวิทยาลัย
และทำงานแล้วด้วย
มายาคติที่มักจะติดเราอยู่เสมอคือ
เรามักหยุดเวลาเอาไว้เมื่อเราแรกพบใครสักคนหนึ่ง
เช่นถ้าเราเคยพบใครตอนที่เขาอายุ ๑๘ ปี
เราก็มักจะนึกว่า เขาอายุ ๑๘ ปีเสมอ
แม้เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่
ข้าพเจ้ามักนึกเสมอว่า ตัวเองอายุ ๒๗ ปี
และข้าพเจ้าก็อยากให้ระบุในหนังสืองานศพของข้าพเจ้าด้วยว่า
ข้าพเจ้าตายเมื่ออายุ ๒๗ ปี
ตัวเลข ๒๗ มันมีมนตร์เสน่ห์อย่างประหลาด
ข้าพเจ้าชอบมัน
วันเกิดปีนี้
ข้าพเจ้าจะเดินทางกลับบ้านที่ข้าพเจ้าเกิด
พักผ่อนสัก ๕ วัน หรือ ๓ วันเป็นอย่างน้อย
ข้าพเจ้าไม่เคยกลับบ้านด้วยเหตุนี้เลย
ข้าพเจ้าไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวันเกิด
บ้านของเราก็ไม่มีประเพณีอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับมัน
เรารู้แค่ว่า ชีวิตของเราผ่านไปอีกหนึ่งปี
ยิ่งตอนเป็นเด็ก ข้าพเจ้ายิ่งไม่ได้ใส่ใจกับมันด้วยซ้ำ
เราตระหนักว่าเราอายุมากขึ้น
ก็ต่อเมื่อ เราเลื่อนชั้นเรียนในวันเปิดภาคเรียน
ก็แค่นั้น
( ยิ่งคนแก่ ๆ ยิ่งไม่ตระหนัก บางทีถามว่า
ยายอายุเท่าไหร่ ก็ต้องมานั่งนับวันเดือนปีกัน
คือไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเวลาพวกนี้เลย )
ปีใหม่ก็ไม่มีความหมายอะไร
สงกรานต์ ก็ไม่ค่อยมีความหมาย
นอกจากได้สาดน้ำใส่ชาวบ้านเล่น
หรือมีมหรสพที่วัด
ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้พิสมัยมหรสพอยู่แล้ว
ตลอดระยะเวลาสามสิบปีที่ผ่านมา
(เอาเถอะ ยังไม่ถึงก็เกือบถึง ถือว่าถึงแล้วก็แล้วกัน
แต่ก็อาจไม่ถึงก็ได้ ไม่แน่
ข้าพเจ้าอาจตายระหว่างเดินทางกลับบ้าน )
ข้าพเจ้าทบทวนชีวิตเกือบทุกวัน
และทุกปี ข้าพเจ้าก็ทบทวนชีวิต
ว่าตอนนี้เราเดินทางมาถึงตรงไหนแล้ว
เราทำถูกหรือผิด หรือทำอะไรมาบ้าง
มากน้อยเท่าไหร่
และเราควรละทิ้งอะไร
หรือเก็บอะไรเพิ่มเติม
คำตอบมันช่างประหลาดสำหรับปีนี้
ข้าพเจ้าไม่อยากเก็บอะไรเพิ่มเติมอีกสักเท่าไหร่แล้ว
และได้ละทิ้งอะไรไปหลายอย่าง
ราวกับว่า
ถ้าพรุ่งนี้ต้องตายไป
ข้าพเจ้าก็ไม่เสียใจที่เกิดมา
และมีชีวิตอยู่
( ความจริงก็พูดอย่างนี้มาบ่อย ๆ หลายปีแล้ว )
ไม่มีอะไรที่อยากทำจนต้องกระเหี้ยนกระหือรือ
ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้
ทำตามหน้าที่ ทำตามสิ่งที่ต้องทำ
ตามสิ่งที่มันควรจะเป็น หรืออยากจะทำ
แต่ถ้าไม่ได้ทำ ก็ไม่วิตกทุกข์ร้อน
ไม่โหยหา
และดูปลง ๆ ยังไงชอบกล
แต่ข้าพเจ้าก็ชอบความรู้สึกแบบนี้
มันสบาย ๆ ดี ไม่เคร่งเครียด ไม่ทะเยอทะยานจนเกินงาม
สงบสุข
ราบเรียบที่สุดตั้งแต่เคยใช้ชีวิตมา
ไม่ต้องหวังอะไร
ตอนเป็นเด็กเราอาจต้องเครียดบ้าง
จากการต้องสอบ ต้องเรียน ต้องสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อ
เข้ามหาวิทยาลัย
พอเข้ามหาวิทยาลัย ก็ต้องสอบ ต้องเรียนให้จบ
พอเรียนจบ พักหนึ่งก็อยากมีเงินมาก ๆ
อยากได้นั่นนู่นนี่ ทำนู่นทำนี่
ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างมันสิ้นสุด
เราไม่อยากมีเงินมาก ๆ อีกแล้ว
ไม่อยากได้อะไรสักเท่าไหร่
บางสิ่งอาจจะอยากได้ แต่ก็ตัดออกไปได้ง่ายดาย
เหมือนปุยนุ่นที่มันแตกออกจากฝัก แล้วลมก็พัดพามันลอยล่องไป
ตัดความอยากได้ง่ายดายถึงขนาดนั้น
แฟนก็เคยมีแล้ว ไม่เห็นมันจะวิเศษวิโสอะไร
หนังสือก็เขียนก็ทำแล้ว ( ทำมานานแล้วด้วย )
หากจะทำต่อไปก็เพราะเป็นเรื่องที่มันต้องทำต่อไป
ไม่ใช่ทำด้วยความกระหายใคร่อยากเหมือนวันวาน
หน้าที่การงานอยากทำอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า
อยากเรียนต่อหรือเปล่า อยากรู้อะไรมากกว่านี้หรือเปล่า
ก็เปล่า
ไม่ต้องการแล้ว
ทำแค่นี้ก็มากเกินไป
และตอนนี้ก็บีบงานตัวเองให้เหลือแค่งานที่ชอบจริง ๆ
แคบเข้ามามาก ๆ ขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ไม่ทำงานที่ไม่ชอบ
ซึ่งที่ร้านก็เข้าใจ จัดให้ในสิ่งที่เราต้องการ
ก็มีความสุขกับการทำงาน
ไม่ต้องมานั่งทำอะไรที่มันต้องฝืนใจ
สงสัยจะปลงกับชีวิตจริง ๆ
หุหุหุ
แด่ (เกือบ) สามสิบปีที่ล่วงผ่าน
โย่ว!
Arty Khamvongsa
27 10 2014