กล่าวถึง TIME ฉบับล่าสุด
3 Nov, 2014
อันนี้อีโบล่าได้มาเป็นพระเอกเสียที
( หลังจากเสียพื้นที่ข่าวให้การเมืองแถบเอเชียมานาน)
เรื่องเด่นประจำฉบับ
"12 คำถามโลกแตกกับอีโบล่า"
สรุปคร่าว ๆ
จาก บทความประมาณ 8 หน้า
ก็คือ
ข้อ 1 What went wrong at the CDC ?
CDC สมัยก่อนข้าพเจ้าเคยเป็นแฟนคลับ
มันก็คล้าย ๆ กับ กรมควบคุมโรคติดต่อ
ของประเทศไทยนั่นเอง
คำถามข้อนี้ไม่ค่อยเกี่ยวกับเราเท่าไหร่นัก
พูดถึงปัญหาการเมืองกันมากกว่า
มีการขุดประวัติของ Director คนปัจจุบัน
คือ Dr. Tom Frienden เล็กน้อยถึงปานกลาง
พร้อมทั้งเยินยออีกหน่อย ๆ ถึงมาก ๆ
จึงขอผ่านไป ไม่เล่า
ข้อ 2 I keep hearing the virus is mutating.
Could Ebola become airborne ?
คำถามก็คือ มีโอกาสที่อีโบล่าจะมิวเตท
กลายเป็นเชื้อที่ติดต่อกันผ่านทางอากาศได้หรือไม่
คำตอบคือ ไม่
ปัจจุบัน อีโบล่า จะอยู่ใน "สารน้ำ" จากร่างกายเท่านั้น
เช่น น้ำลาย น้ำเลือด น้ำเหงื่อ อาเจียน ฯลฯ รวมทั้งอุจจาระด้วย
โอกาสกลายพันธุ์ที่จะมาล่องลอยอยู่ในอากาศ
ให้เราสูดหายใจเข้าไปแล้วติดเชื้อนั้นแทบจะไม่มี
( เขาว่านะ )
ข้อ 3 Who can order an Ebola patient to Quarantine ?
What are the patient's legal rights ?
คำถามนี้ไม่เกี่ยวกับเรา ( อีกแล้ว )
( ใครมีอำนาจสั่งการให้คนไข้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้ออีโบล่า
ต้องเข้าไปอยู่ในสถานกักบริเวณ )
ผ่านไป
( ยิ่งเรื่องสิทธิมนุษยชน ยิ่งไม่เกี่ยวไปใหญ่
เพราะเราไม่มี *O*
หึหึหึ )
ข้อ 4 What's the status of all the experimental
drugs and vaccines ?
ตอนนี้ยังไม่มียารักษาอีโบล่า หรือแม้กระทั่งวัคซีน
แต่พวกนักวิทยาศาสตร์ก็กำลังพยายามกันอยู่
จบ
ข้อ 5 Can I get sick if I touch surfaces
that have been in contact with Ebola ?
คำตอบคือ ในทางเทคนิคแล้วอาจเป็นไปได้
แต่ยากมาก
เพราะตอนนี้หลักฐานที่มีอยู่ คือ ติดต่อกันจากการสัมผัสโดยตรง
กับ "สารน้ำ" ในร่างกายเท่านั้น
ข้อ 6 Should the U.S. ban all travel to and from
Sierra Leone, Liberia and Guinea ?
อเมริกามีการห้ามผู้คนจากสามประเทศที่มีการระบาดหนัก
เดินทางเข้ามาสู่อเมริกาหรือไม่
คำตอบคือ ห้ามเด็ดขาด ในกรณีที่เป็นคนเสี่ยงสูง
หรือ คนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ( พะนะ )
( จากนั้นก็ร่ายยาวเกี่ยวกับการห้ามผู้คนในอดีต
เช่น ผู้ติดเชื้อเอดส์ เป็นต้น )
ข้อ 7 If you survive Ebola, Does it mean
you can never get it again ?
คำตอบคือ อาจเป็นไปได้
แต่ไม่แน่
มันยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้
อย่าชะล่าใจ เป็นแล้วก็อาจเป็นอีกได้
ข้อ 8 How likely is a major outbreak
outside West Africa ?
คำตอบคือ เป็นไปได้น้อย ( อันนี้สำหรับอเมริกานะ )
ข้อ 9 How do hospital safety dispose of
the bodily fluids of an Ebola patient ?
โรงพยาบาลกำจัดสารต่าง ๆ จากร่างกายของผู้ป่วยอีโบล่า
ได้ดีเพียงพอและปลอดภัยหรือเปล่า
( ซึ่งไม่เกี่ยวกับไทยแลนด์แดนตอแหลแม้แต่น้อย )
คำตอบคือ ดีจ้ะ โรงพยาบาลทุกแห่งของอเมริกามาตรฐาน
อย่าว่าแต่อีโบล่าเลย อีโบไม่ล่า ก็ต้องกำจัดอย่างถูกวิธีทางการแพทย์
( พะนะ )
ข้อ 10 What's the next Ebola ?
แหม่... อันนี้คำตอบดูแถ ๆ พิกล
แต่อย่างว่า บทความนี้เป็นบทความประมาณ
ปลอบประโลมอเมริกันชนและประชาคมโลก
( หลังจากปล่อยบทความให้ตื่นตระหนกมาแล้ว
3 ฉบับรวด ก่อนหน้านี้ )
เขาตอบว่า ไข้หวัดนกน่ะ รุนแรงกว่านี้ตั้งเยอะ
ตอนนี้เป็นไงล่ะ
อะไรทำนองนี้
:P
ข้อ 11 There have been only a few cases
outside West Africa. Why are people
freaking out ?
คำตอบก็คือ แหม.... คุณครับ มันก็เป็นปกติของมนุษย์นั่นแหละ
ที่ชอบวิตกจริต ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะเรื่องอย่างนี้มันเคยเกิดขึ้นมามากมายแล้ว
ในอดีต
( มนุษย์จึงมีบทเรียน ซึ่งมันก็...
เป็นวิวัฒนาการของมนุษย์เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ว่างั้นเหอะ )
ข้อ 12 สุดท้าย Is there anything I can do to HELP ?
แหม เป็นคำถามที่ดี
แต่คำตอบคือ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
( MSF และ กาชาดสากล )
เขาไม่ต้องการอาสาสมัคร หรืออะไรอย่างอื่น
นอกจาก
"เงิน"
สามารถบริจาคได้หลายที่ ที่ถึงเลย ก็มี
เช่น http://doctorswithoutborders.org
อันนี้พวกเขาทำงานนี้โดยตรง
( อุตส่าแปะลิ้งค์ไว้ให้ เผื่อใครอยากเอาไปเล่าให้ลูกฟัง
แล้วเกิดเหตุการณ์แบบเรื่อง "มุ้งแคทเธอรีน"
หึหึหึ
เผื่อมีเรื่องฟิน ๆ ของคนไทยมั่ง
ไม่ใช่เอาแต่ฟังเรื่องฟิน ๆ ( ที่ใส่สีนั่นนิดนู่นหน่อย ) ของฝรั่ง
แล้วก็มานั่งดราม่าาาาาา เถียงกันอย่างไร้สาระ )
และ ณ จุด ๆ นี้
พี่มาร์ค ซักฯ แห่ง เฟซบุค ก็เพิ่งบริจาคไป
25 ล้านเหรียญ
ให้กับ The nonprofit CDC Foundation
เขาว่างั้น
( ดังนั้น เรา ๆ ท่าน ๆ ที่กำลังเล่นเฟซบุคกันอยู่
ก็ถือว่าได้ช่วยทำรายได้ให้พี่มาร์คมีเงินไปบริจาค
โดยปริยาย
อืมมม...เล่นเฟซก็ดีอย่างนี้เอง
หึหึหึ )
และเหตุผลที่เขาไม่ต้องการอาสาสมัครก็เพราะว่า
งานที่ทำ เป็นงานที่อาศัยทักษะสูง
ต้องอาศัยการเทรนนิ่งค่อนข้างมาก
มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
เขาจึงสงวนสิทธิ์ไม่รับบุคคลภายนอก
นะจ๊ะ ๆ
อันนี้ก็คร่าว ๆ
แถมอีกหนึ่งบทความ ส่งท้าย
เกี่ยวกับ "ปัญหา"
ว่าทำไม อีโบล่าจัดการไม่ได้สักที
ปัญหาหลักก็คือ เรื่องของการตรวจ
ทั้งเรื่องกายภาพ
คือ บ้านเมืองมันไม่ดี ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ
กว่าจะพาคนไข้มาหาหมอ
ก็ตายห่าไปเสียก่อน
อะไรทำนองนี้
และเรื่องงบประมาณ อุปกรณ์ เครื่องมือ ฯลฯ
ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ
การตรวจอีโบล่าเนี่ย
มันซับซ้อนเหลือเกิน
กว่าจะเจาะเลือด กว่าจะตรวจ
กว่าจะรู้ผล
ก็ตั้ง 8 ชั่วโมง
( อันนี้ไม่นับรวมเวลาที่ขนกันมาจากบ้านผ่านถนนหลุมอีก )
ซึ่งมันก็ไม่ทันการณ์
แถมค่าใช้จ่ายก็แพง
( เพราะเทคนิคที่ใช้กันตอนนี้คือ
PCR - Polymerase chain reaction test )
ตรวจครั้งหนึ่ง
เสียเงินทีเป็น 100 เหรียญ
( ~ 3000 บาท ต่อการตรวจหนึ่งครั้ง ว่างั้นเหอะ )
เลือดก็ต้องใช้จำนวนมาก
ส่งผลให้เสี่ยงต่อการกระจายของเชื้อ
( เลือดหก เลือดหาย )
แถมคนไข้บางคนก็ไม่รู้เป็นห่าอะไร
พอจะเจาะเลือดตรวจให้ดี ๆ
ก็ดิ้นพรวดพราด ๆ เป็นผีเข้า
คนเจาะเลือดก็เสี่ยงต่อการจะถูกคนไข้ทำร้าย
แถมเสี่ยงต่อการที่เข็มจิ้มเลือดคนไข้จะมาทิ่มเอาอีก
( อันนี้บทความเขาว่ามาอ่ะนะครับ --แต่ก็ใส่สีตีไข่เล็กน้อย
ตามสไตล์ 555 )
สุดท้ายก็ลงเอยที่ว่า
อยากได้ผลิตภัณฑ์ที่ตรวจง่าย ๆ ดังภาพด้านล่าง
กล่าวคือ สามารถตรวจได้ง่าย ๆ เหมือนการตรวจตั้งครรภ์
ใช้เลือดนิดเดียว แค่จิ้ม ๆ
เสร็จเอากระดาษแตะ แล้วก็อ่านผลได้เลย
เด็กทำได้ผู้ใหญ่ทำดี
15 นาที เรียบร้อย
และค่าใช้จ่ายก็ควรจะอยู่ที่ 2-8 เหรียญ
ไม่ใช่ 100 เหรียญ อย่างปัจจุบัน
อะไรทำนองนี้
แต่ก็นั่นแหละ
ก็มีคนบอกว่า อยากได้ง่าย ๆ เหรอ
ไม่ยากเลย
เอาเงินมาสิ
"Show me the Money,"
ว่างั้น
ท้ายสุดของบทความนี้เขาก็ย้ำอีกว่า
"With enough tests, we can shut it down."
Without them, Ebola may be here to stay.
จบข่าว
Arty Khamvongsa
รายงาน
30 10 2014