วันแม่
กลับบ้าน
พาหมาไปเดินเล่น
เดินจริง ๆ
เดินจากบ้านไปเรื่อย ๆ
ผ่านทุ่งนา
อ้วนหมาตามหลัง
มูโร่ตามมา
ข้าพเจ้าอยู่ข้างหน้า
จากนั้นก็สลับที่กัน
เดินไปบนถนนที่คดโค้ง
แวดล้อมด้วยทุ่งนาป่าเขา
มีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เต็มไปหมด
เพราะหน้าฝน
มีดอกกระเจียวสีขาวข้างทาง
ดอกนี้รู้สึกจะไม่ค่อยสวย
ดอกนี้สวยมีไม่มีแมลงแทะ
ใบไม้บางชนิด
ก็เหมือนจะมีแมลงบางชนิดชอบ
มันต้องเป็นหนอนแน่ ๆ
มันกินใบไม้
แล้วมันก็จะเป็นดักแด้
ก่อนที่จะเป็นผีเสื้อ
ที่นาของเราพ่อปลูกต้นยางใหม่หลายสิบต้น
มีที่ปลูกอยู่ก่อนแล้วบ้าง
ยางก็สวยดี
มีดอกลั่นทมสีแดง
สวยมาก
อ้อยเป็นของน้า
ความจริงที่นานี้
ทวดเป็นคนสร้างขึ้นมา
แต่ก่อนเป็นป่า
ทวดเป็นรุ่นบุกเบิกที่ดินแถวนี้
ทำนาไว้หลายที่
แต่ก็ขายไปเสียหมด
แบ่งให้ลูกหลานอีกด้วย
(ที่ที่เดินผ่านถนนมานั่นเอง
ตรงนั้นเคยเป็นของทวดเกือบทั้งหมด)
ตกมาถึงรุ่นยาย
ยายก็ได้ที่ตรงปัจจุบันมา
ได้ที่สวน
และได้บ้านของทวดมาด้วย
ยายเป็นลูกคนเล็กสุด
ดูเหมือนทวดจะรักที่สุด
ได้ที่บ้านที่สวนเยอะกว่าคนอื่น
ได้ที่นาเยอะกว่าคนอื่น
แต่ก็รักษาไว้ไม่ได้
มีแบ่งขายไปบ้าง
จริงที่นาตรงนี้
ไม่ควรถูกแบ่งอีกแล้วในรุ่นแม่
แต่ก็ยังคงถูกแบ่ง
ทำให้พื้นที่เล็กลงเรื่อย ๆ
เป็นส่วนของแม่
กับส่วนของน้าคนรอง
และมีน้าคนสุดท้ายทำส่วนของน้าคนรองอยู่
เพราะน้าคนรองไม่ทำนา
มาสร้างโรงงานผลิตจำพวกไฟเบอร์กลาสอยู่ที่กรุงเทพฯ
ความจริงข้าพเจ้าไม่อยากให้แบ่งอีกแล้ว
ทั้งที่สวนและที่นา
ยายมีลูกสี่คน
ที่สวนถูกแบ่งเป็นสี่ส่วน
และที่นาถูกแบ่งเป็นสองส่วน
บ้านเป็นของแม่
เพราะแม่เป็นลูกคนโต
และเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว
หากมาถึงรุ่นข้าพเจ้า
แม่ข้าพเจ้ามีลูกสองคน
คือข้าพเจ้ากับน้อง
ที่มันก็ไม่ควรถูกแบ่งอีก
เพราะมันจะเล็กจนทำอะไรไม่ได้
ทุกวันนี้
บ้านข้าพเจ้าเหมือนทำนาเป็นอาชีพเสริม
หรือทำไว้กินเอง
และทำโดยจ้างคนอื่น
คือให้คนอื่นทำให้
ไม่ได้ทำเอง
ข้าพเจ้าไม่เคยทำนา
จะว่าไป
ก็เคยทำอยู่ครั้งเดียว
คือตอนถ่ายรูปเพื่อทำพอร์ต
ส่งรางวัลนักเรียนพระราชทาน
เคยดำนาหนึ่งครั้ง
และเคยเกี่ยวข้าวหนึ่งครั้ง
อย่างอื่นไม่เคยทำเลย
ขับรถไถนาไม่เป็น
ที่นาสำหรับข้าพเจ้า
มีไว้นอนเล่น
มีไว้มาเดินเล่น
ข้าพเจ้าไม่ได้เกิดมาเพื่อปลูกข้าว
พ่อแม่ก็ไม่เคยให้ทำ
แม่มีอาชีพหลักสำหรับสร้างรายได้
คือการขายของที่ตลาด
ทำนาเพื่อมีข้าวกิน
และแจกญาติ ๆ บ้างเท่านั้น
(ซึ่งถ้ามันเหลือเยอะมากก็ขาย
ซึ่งก็ต้องขายตลอด
เพราะมันเยอะมาก
ที่นาที่แบ่งแล้วยังได้ข้าวตั้งสองตัน
กินยังไงก็ไม่หมด)
นาที่เป็นตา ๆ
เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณ
ที่ทำเป็นตา ๆ เพื่อทดน้ำ
เพื่อกักเก็บน้ำ
สามารถปล่อยน้ำจากตาหนึ่งสู่อีกตาหนึ่ง
และกักน้ำเอาไว้
ไม่ให้มันไหลไปตามสภาพของมัน
คือไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสียหมด
นาหลายที่ของเพื่อนบ้าน
ปรับให้เป็นผืนเดียว
ไม่เป็นที่นาแบบตา ๆ อีกต่อไป
เพราะจะได้ทำนาง่าย
คือใช้รถไถนาขนาดใหญ่
ใช้รถดำนา
ใช้รถเกี่ยวข้าว
เหมือนเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง
ข้าพเจ้าตั้งใจจะเก็บเอาที่นาที่เป็นตา ๆ แบบนี้เอาไว้
ไม่ใช่อนุรักษ์นิยมหรืออะไร
ไม่ใช่คิดถึงภูมิปัญญา
แต่ก็ไม่แน่
อาจจะใช่ก็ได้
แต่เมื่อเห็นที่นาเป็นตา ๆ ทีไร
ข้าพเจ้าก็นึกไปถึงพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอานนท์คราวหนึ่งว่า
อานนท์
เธอจงไปออกแบบจีวรมา
คือให้เป็นดีไซเนอร์ว่างั้นเถอะ
พระอานนท์ก็ไปออกแบบจีวร
เป็นตา ๆ
เหมือนทุ่งนา
มีคันนา
แต่ละตาก็เป็นสี่เหลี่ยมไม่เท่ากัน
เหมือนทุ่งนาเป๊ะ
พระพุทธเจ้าท่านก็ว่า
ดีมากอานนท์
แบบนี้ดี
และทรงให้ภิกษุทั้งหลาย
ตัดเย็บจีวรตามอย่างที่พระอานนท์ออกแบบ
จีวรพระจึงมีลักษณะเป็นตา ๆ เหมือนทุ่งนา
มาจนถึงทุกวันนี้
ข้าพเจ้าตั้งใจจะเก็บที่นาเป็นตา ๆ นี้ไว้
เพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า
และระลึกถึงดีไซเนอร์แห่งพระพุทธศาสนา
คือพระอานนท์
เพราะอนาคตกาล
ที่นาตาเล็ก ๆ
ที่มีขนาดเท่ากันบ้างไม่เท่ากันบ้างนี้
คงจะหาดูได้ยากแล้ว
คันนาทั้งหลาย
สมัยทวดข้าพเจ้านั้น
ใช้จอบขุดขึ้นมาทำทั้งสิ้น
ไม่ได้มีเครื่องทุ่นแรงอื่นใด
การไถนาก็ใช้ควาย
สมัยข้าพเจ้าเป็นเด็กเล็กมาก ๆ
ที่บ้านก็มีควายเยอะแยะมากมาย
และเคยเห็นควายไถนาด้วย
พอโตขึ้นมาหน่อย
ควายก็หายไป
ข้าพเจ้าไม่ชอบควายเลย
ในตอนเป็นเด็ก
เพราะกลัวมันขวิด
เคยขี่ควายครั้งเดียว
และไม่ชอบ
มันระคายขา
คือขนควายนี่มันแข็งมาก
เวลาขี่มันเหมือนจะตก
แล้วข้าพเจ้าก็เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ
ต้องมีผู้ใหญ่จับขึ้นไปขี่
ไม่สนุกเลย
ไม่ชอบ
วัวก็ไม่ชอบ
ก่อนจะเป็นที่นา
ที่ดินทั้งหลายก็คือป่า
ป่าเบญจพรรณ
หรือที่เรียกว่า
ป่าเต็งรังนั่นเอง
มีต้นเต็ง ต้นรัง ต้นแดง
อะไรพวกนี้เป็นต้น
เป็นไม้หลัก
มีอยู่ ห้าชนิด
จึงเรียกว่าป่าเบญจพรรณ
มีไม้พื้นล่างเป็นพวกหวาย เฟิน
อาจจะมีไผ่ด้วย
แต่เป็นไผ่ป่า กอเล็ก ๆ
เรื่องพวกนี้ข้าพเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน
รู้เอาก็ตอนที่ไปเข้าค่ายโอลิมปิกวิชาการ
ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ทั้งที่ความจริง
เป็นความรู้พื้นฐาน
ที่คนแถวบ้านเขารู้กัน
ข้าพเจ้าไม่เคยจำแนกแยกแยะต้นไม้ได้
จนกระทั่งไปเรียนนั่นแหละ
พิลึกคนแท้ ๆ
บางที นาบางตา ต้นไม้มันใหญ่มาก ขุดออกไม่ได้
เขาก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้น
หรือไม่ก็เผาให้เหลือแต่ตอไว้กลางทุ่งนา
อนึ่ง
การสร้างทุ่งนานี้
มันไม่ได้สร้างกันง่าย ๆ
หรือนึกจะขุดตรงไหนก็ขุดได้
ต้องดูทำเล
ใกล้แหล่งน้ำหรือเปล่า
มีน้ำไหลผ่านหรือเปล่า
อย่างที่นาข้าพเจ้า
เบื้องหน้านั้นเป็นลำน้ำงาว
ซึ่งน้ำงาวนี้ก็จะไปบรรจบกับลำน้ำโมง
กลายเป็นแม่น้ำโมง
ไหลลงสู่แม่น้ำโขง
และไหลออกสู่ทะเลต่อไป
ที่บ้านมีลูกสองคน
คือข้าพเจ้าและน้องสาว
ไม่มีใครสนใจเรื่องทำนา
ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจ
วัน ๆ เอาแต่อ่านหนังสือ
ทั้งหนังสือเรียน
ทั้งหนังสืออ่านเล่น
หนังสือวรรณกรรมวรรณเวรอะไรทั้งหลาย
ทุ่งนาคือที่สำหรับเปลี่ยนบรรยากาศอ่านหนังสือ
เป็นที่สำหรับปีนต้นฝรั่งขี้นกกิน
เป็นที่สำหรับวิ่งเล่น
เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับข้าพเจ้า
กระนั้นก็ตาม
ข้าพเจ้าคิดว่า
ควรจะต้องกลับไปศึกษาเรื่องทำนา
เพื่อที่ว่า
จะได้บอกคนรับจ้างทำนาได้
เราต้องการอะไร
และเพื่อตรวจดู
เขาทำให้เราดีหรือไม่ดี
อย่างน้อย ๆ
ข้าพเจ้าก็ควรรู้
จะเริ่มลงมือทำนาเดือนไหน
เพราะข้าวเป็นพืชประหลาด
มีระยะเวลาแน่นอนในการออกรวง
ถ้าเราทำช้า
มันจะไม่งาม
น้ำต้องมีมากตอนไหน
น้ำต้องแห้งจากนาตอนไหน
เก็บเกี่ยวยังไง
เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก
ต่อไปข้าพเจ้าคิดว่า
เราคงต้องทำนาเหมือนญี่ปุ่น
คือทำไว้กินเอง
ประมาณ
วันธรรมดาก็ทำงานของเรา
วันหยุดก็ไปทำนา อะไรอย่างนี้
แต่มันคงสบายหน่อย
ถ้าเราสามารถจ้างให้คนทำนาให้เราได้
แต่ก็นั่นแหละ
เด็กรุ่นใหม่ ๆ
ก็ไม่มีใครทำนาเป็นเสียแล้ว
แล้วเราจะจ้างใคร
ต่อไปจริง ๆ
ก็คงมีอาชีพรับจ้างทำนา
อย่างที่เคยเห็นในข่าว
อาจจะเป็นอาชีพเสริม
หรืออาชีพทำเอาสนุก
หรือเป็นกลุ่มเพื่อนที่ทำเอามันส์
ช่วยกันทำนา
แบ่งข้าวกันไป อะไรอย่างนี้
จะได้ไม่ต้องซื้อข้าวตามตลาดกิน
หน้าฝนก็จัดโฮมสเตย์
มานอนที่นากันเถอะ
มาทำนากัน
ฤดูเก็บเกี่ยวก็มาเกี่ยวข้าวกัน
เกี่ยวได้เท่าไหร่
ก็เอากลับบ้านใครบ้านเรา
สนุกสนานรื่นรมย์กันไป
คือนาเนี่ยถ้าทำกันจริง ๆ
ไม่กี่วันมันก็เสร็จ
ถ้าแบบนาหว่าน
วันเดียวก็เรียบร้อย
แต่ถ้านาดำ
ก็หลายวันหน่อย
แรงงานเยอะอาจจะซักสอง-สามวัน
หญ้านั้นมันก็สวยดี
ถ้าเราถ่ายรูปมันมา
ดูมันเฉพาะส่วน
เห็นมันบางส่วน
ที่เราอยากเห็น
แต่ความจริง
ถ้ามันขึ้นในที่นาของเรา
มันก็ไม่ใช่สิ่งสวยงามหรอก
อะไรก็ตาม
ถ้าไม่อยู่ในที่ที่มันสมควรอยู่
ก็คงไม่สวยสดงดงามทั้งสิ้น
ธัชชัย ธัญญาวัลย
๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๗