สันติภาพ หรือ สันติภาวะ นั้น
หมายความว่า ภาวะแห่งความสงบ
ภาวะที่สงบที่สุด
ก็คือ นิพพาน นั่นเอง
หรือแม้กระนั้น
หากไม่ต้องพูดถึงนิพพาน
เพราะดูเหมือนไกลเกินเอื้อม
เราอาจจะพูดถึงแค่ว่า
ภาวะสงบของจิต
ในอารมณ์ของอัปปนาสมาธิ
หรือที่เรียกว่า ฌาน
แต่บางขณะ ไม่ถึงขนาดกับฌาน
เป็นแต่เพียงสมาธิระดับต่าง ๆ
ก็ทำให้เกิดสันติภาวะ ได้เช่นกัน
เมื่อพูดถึง เสรีภาพ
ก็คือ เสรีภาวะ
หรือภาวะที่ปราศจากการรัดรึง
หมดความข้องเกี่ยวใด ๆ
ก็ต้องเป็น ภาวะนิพพานอีก
ถ้าเป็นอย่างกลาง ๆ ก็เป็นเรื่องของฌาน เรื่องของสมาธิ
ดังอธิบายเรื่องสันติภาพ
เช่นเดียวกัน
คำว่า อิสรภาพ ก็ย่อมหมายความได้อย่างเดียวกัน
คำเหล่านี้เป็นคำจำพวกเดียวกันทั้งสิ้น
หมายถึงสิ่งเดียวกันทั้งสิ้น
ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึง สันติภาพ เสรีภาพ อิสรภาพ
จึงไม่มีกระบวนการอื่นที่จะทำให้เกิดได้
นอกจากกระบวนการทางจิต
มีสมาธิภาวนาเป็นต้น
โลกนี้ไม่ได้เกิดสันติภาพด้วยความโกรธ หรือความรัก
นั่นหมายความว่า
โลกนี้จะเกิดสันติภาพได้ ไม่ใช่ด้วยสงคราม
ไม่ใช่ด้วยการรักกัน
แต่เกิดด้วยภาวะเป็นกลาง ๆ ทางจิต
ที่เรียกว่านิพพาน
หรืออย่างน้อยก็ระดับกลาง ๆ ก็คือ ฌาน
โลกไม่เกิดสันติภาพจากสงครามนั้นพอเข้าใจได้
แต่ประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย
หรือผู้นำทั้งหลาย
ก็มักจะคิดว่า
สงครามสร้างสันติภาพได้
แต่แท้แล้วไม่ใช่เลย
ถึงกระนั้นก็ยังมีสงครามมาทุกยุค
โลกนี้ไม่เคยว่างเว้นจากสงครามเลย
สงครามนั้นเป็นกิเลสฝ่ายโทสะ
แน่นอน
ตรงข้ามกับโทสะ ก็คือ ราคะ
คือฝ่ายความรักนั่นเอง
โลกไม่สงบด้วยความรักแน่
เพราะความรักเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน
ซ้ำสงครามหลาย ๆ ครั้ง
ก็เกิดขึ้นเพราะความรัก หรือกิเลสฝ่ายราคะเสียอีก
ส่วนความหลงนั้น
สถิตอยู่กับทุกภาวะอยู่แล้ว
ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้าผู้หนึ่ง
หลวงพ่อวิริยังค์
เป็นผู้จัดตั้งสถาบันสอนสมาธิ
โดยต้องการให้คนทั้งโลกนี้
ทำสมาธิ
ข้าพเจ้าคิดว่า
หลวงพ่อ เป็นบุคคลที่สมควรที่สุด
ที่จะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
เพราะนั่นคือวิถีทางแห่งสันติภาพที่แท้จริง
กลับมาที่การเมืองไทยทุกวันนี้
สันติภาพไม่มีโอกาสได้งอกขึ้นเลย
เพราะต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่า
อะไรที่จะทำให้แต่ละฝ่ายหยุด
และทำให้เมืองไทยสงบสันติ
ต่างฝ่ายต่างมีโทสะเข้าหากัน
ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักคำว่า ให้อภัยซึ่งกันและกัน
ต่างฝ่ายต่างมีมวลชนเป็นของตัวเอง
เพื่อเอาไว้ใช้อ้างความชอบธรรม
แต่ไม่เคยกระทำความชอบธรรมเลยสักครั้ง
ต่างฝ่ายก็มีเหตุผลของตัวเอง
คิดว่าตัวเองถูกต้องทั้งสิ้น
และพยายามยัดเยียดให้อีกฝ่ายผิดทุกกรณี
ในภาวะวิปริตวิปโยคทางการเมืองเช่นนี้
ในภาวะรุ่มร้อนเช่นนี้
ควรหรือที่จะเอาตัวเข้าเกลือกกลั้ว
ในคัมภีร์ที่ว่าด้วยกลียุคนั้นกล่าวว่า
เมื่อโลกถึงกาลกลียุค
คนอายุห้าปีสิบปีก็มีลูก อายุขัยสั้นถึงขีดสุด
จะเกิดสงครามฆ่ากันตายห่าตายโหง
แต่จะมีชนกลุ่มหนึ่ง
หนีออกจากที่นั้น
ไปหลบอยู่ตามภูเขาราวป่า
รอท่าให้สงครามสงบ
ฆ่ากันตายหมดทั้งสองฝั่งแล้ว
จึงกลับออกมา
เริ่มฟื้นฟูศีลธรรมขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อนั้น
โลกก็ร่มเย็นขึ้น อายุขัยก็มากขึ้น
ทำดีขึ้นอายุขัยมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนกระทั่งเป็นอสงไขย
มนุษย์ลืมตาย
ไม่รู้จักคำว่าตาย
เมื่อนั้นก็ห้ำหั่นกันอีกครั้งหนึ่ง
จนอายุขัยลดลงเรื่อย ๆ
จนถึงแปดหมื่นปี พอรู้จักความตายบ้างอะไรบ้าง
ตอนนั้นหละ พระเมตไตย จึงจะลงมาตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย
แห่งภัทรกัปป์นี้
ถามว่าช่วงนี้ยังไม่ถึงกลียุค
แต่ก็ใกล้เคียง
เราจะยืนอยู่จุดไหน
ก็ย่อมเลือกได้
ด้วยตัวเราเอง
ทำตามความคิดความเชื่อของตัวเอง
และต้องอย่าลืม
เมื่อผลแห่งการกระทำให้ผลแล้ว
อย่าโอดครวญ
อย่าวิ่งโร่หาที่แก้กรรมให้เป็นที่อิดหนาก็แล้วกัน
ธัชชัย ธัญญาวัลย
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
หมายความว่า ภาวะแห่งความสงบ
ภาวะที่สงบที่สุด
ก็คือ นิพพาน นั่นเอง
หรือแม้กระนั้น
หากไม่ต้องพูดถึงนิพพาน
เพราะดูเหมือนไกลเกินเอื้อม
เราอาจจะพูดถึงแค่ว่า
ภาวะสงบของจิต
ในอารมณ์ของอัปปนาสมาธิ
หรือที่เรียกว่า ฌาน
แต่บางขณะ ไม่ถึงขนาดกับฌาน
เป็นแต่เพียงสมาธิระดับต่าง ๆ
ก็ทำให้เกิดสันติภาวะ ได้เช่นกัน
เมื่อพูดถึง เสรีภาพ
ก็คือ เสรีภาวะ
หรือภาวะที่ปราศจากการรัดรึง
หมดความข้องเกี่ยวใด ๆ
ก็ต้องเป็น ภาวะนิพพานอีก
ถ้าเป็นอย่างกลาง ๆ ก็เป็นเรื่องของฌาน เรื่องของสมาธิ
ดังอธิบายเรื่องสันติภาพ
เช่นเดียวกัน
คำว่า อิสรภาพ ก็ย่อมหมายความได้อย่างเดียวกัน
คำเหล่านี้เป็นคำจำพวกเดียวกันทั้งสิ้น
หมายถึงสิ่งเดียวกันทั้งสิ้น
ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึง สันติภาพ เสรีภาพ อิสรภาพ
จึงไม่มีกระบวนการอื่นที่จะทำให้เกิดได้
นอกจากกระบวนการทางจิต
มีสมาธิภาวนาเป็นต้น
โลกนี้ไม่ได้เกิดสันติภาพด้วยความโกรธ หรือความรัก
นั่นหมายความว่า
โลกนี้จะเกิดสันติภาพได้ ไม่ใช่ด้วยสงคราม
ไม่ใช่ด้วยการรักกัน
แต่เกิดด้วยภาวะเป็นกลาง ๆ ทางจิต
ที่เรียกว่านิพพาน
หรืออย่างน้อยก็ระดับกลาง ๆ ก็คือ ฌาน
โลกไม่เกิดสันติภาพจากสงครามนั้นพอเข้าใจได้
แต่ประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย
หรือผู้นำทั้งหลาย
ก็มักจะคิดว่า
สงครามสร้างสันติภาพได้
แต่แท้แล้วไม่ใช่เลย
ถึงกระนั้นก็ยังมีสงครามมาทุกยุค
โลกนี้ไม่เคยว่างเว้นจากสงครามเลย
สงครามนั้นเป็นกิเลสฝ่ายโทสะ
แน่นอน
ตรงข้ามกับโทสะ ก็คือ ราคะ
คือฝ่ายความรักนั่นเอง
โลกไม่สงบด้วยความรักแน่
เพราะความรักเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน
ซ้ำสงครามหลาย ๆ ครั้ง
ก็เกิดขึ้นเพราะความรัก หรือกิเลสฝ่ายราคะเสียอีก
ส่วนความหลงนั้น
สถิตอยู่กับทุกภาวะอยู่แล้ว
ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้าผู้หนึ่ง
หลวงพ่อวิริยังค์
เป็นผู้จัดตั้งสถาบันสอนสมาธิ
โดยต้องการให้คนทั้งโลกนี้
ทำสมาธิ
ข้าพเจ้าคิดว่า
หลวงพ่อ เป็นบุคคลที่สมควรที่สุด
ที่จะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
เพราะนั่นคือวิถีทางแห่งสันติภาพที่แท้จริง
กลับมาที่การเมืองไทยทุกวันนี้
สันติภาพไม่มีโอกาสได้งอกขึ้นเลย
เพราะต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่า
อะไรที่จะทำให้แต่ละฝ่ายหยุด
และทำให้เมืองไทยสงบสันติ
ต่างฝ่ายต่างมีโทสะเข้าหากัน
ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักคำว่า ให้อภัยซึ่งกันและกัน
ต่างฝ่ายต่างมีมวลชนเป็นของตัวเอง
เพื่อเอาไว้ใช้อ้างความชอบธรรม
แต่ไม่เคยกระทำความชอบธรรมเลยสักครั้ง
ต่างฝ่ายก็มีเหตุผลของตัวเอง
คิดว่าตัวเองถูกต้องทั้งสิ้น
และพยายามยัดเยียดให้อีกฝ่ายผิดทุกกรณี
ในภาวะวิปริตวิปโยคทางการเมืองเช่นนี้
ในภาวะรุ่มร้อนเช่นนี้
ควรหรือที่จะเอาตัวเข้าเกลือกกลั้ว
ในคัมภีร์ที่ว่าด้วยกลียุคนั้นกล่าวว่า
เมื่อโลกถึงกาลกลียุค
คนอายุห้าปีสิบปีก็มีลูก อายุขัยสั้นถึงขีดสุด
จะเกิดสงครามฆ่ากันตายห่าตายโหง
แต่จะมีชนกลุ่มหนึ่ง
หนีออกจากที่นั้น
ไปหลบอยู่ตามภูเขาราวป่า
รอท่าให้สงครามสงบ
ฆ่ากันตายหมดทั้งสองฝั่งแล้ว
จึงกลับออกมา
เริ่มฟื้นฟูศีลธรรมขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อนั้น
โลกก็ร่มเย็นขึ้น อายุขัยก็มากขึ้น
ทำดีขึ้นอายุขัยมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนกระทั่งเป็นอสงไขย
มนุษย์ลืมตาย
ไม่รู้จักคำว่าตาย
เมื่อนั้นก็ห้ำหั่นกันอีกครั้งหนึ่ง
จนอายุขัยลดลงเรื่อย ๆ
จนถึงแปดหมื่นปี พอรู้จักความตายบ้างอะไรบ้าง
ตอนนั้นหละ พระเมตไตย จึงจะลงมาตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย
แห่งภัทรกัปป์นี้
ถามว่าช่วงนี้ยังไม่ถึงกลียุค
แต่ก็ใกล้เคียง
เราจะยืนอยู่จุดไหน
ก็ย่อมเลือกได้
ด้วยตัวเราเอง
ทำตามความคิดความเชื่อของตัวเอง
และต้องอย่าลืม
เมื่อผลแห่งการกระทำให้ผลแล้ว
อย่าโอดครวญ
อย่าวิ่งโร่หาที่แก้กรรมให้เป็นที่อิดหนาก็แล้วกัน
ธัชชัย ธัญญาวัลย
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖