ซื้อ E-BOOK
|
คำให้การชาวกรุงเก่า
ช่วงนี้ข้าพเจ้าหมกมุ่นอยู่กับการอ่าน
"คำให้การชาวกรุงเก่า"
คืออยากอ่านมานานแล้ว ไอ้คำให้การชาวกรุงเก่าเนี่ย
แต่ว่าไม่ได้อ่านซักที
ฉบับที่อ่านนี้ดีหน่อย
คือเขาคงภาษาเดิมที่บันทึกเอาไว้
หมายความว่า การสะกดเป็นแบบเดิม
ทำให้เห็นวิวัฒนาการของภาษาไปด้วยในตัว
และทำให้เห็นด้วยว่า
ภาษาเก่านั้นเขาสะกดอย่างไร
อย่างเช่น
วันพุธ เขาก็ว่า วันพุฒ
วันศุกร์ เขาก็ว่า วันสุกร์
เจริญ ก็ว่า เจรีญ
หรือดำเนิน ก็ว่า ดำเนีน อย่างนี้เป็นต้น
ส่วนบางคำก็คุ้น ๆ กันบ้าง
เพราะนักการศาสนาบางท่านก็ติดภาษาเก่าอยู่
อย่างเช่นคำว่า สาสนา อย่างนี้
ว่ากันว่า
คำให้การชาวกรุงเก่า เป็นพงศาวดารไทย ฉบับพม่า
แต่เอาเข้าจริง
คนพม่าให้มอญแปลจากไทยเป็นมอญก่อน
แล้วค่อยแปลจากมอญเป็นพม่าอีกที
ว่ากันอีกว่า
กรุงศรีอยุทธยา (อันนี้สะกดตามในหนังสือ)
ร่ำรวยมาก จารึกพงศาวดารลงในแผ่นทอง
ไม่ได้จารึกไว้ที่เสาหินแบบสุโขทัย
ทำให้เวลาที่มีการขุดได้สมบัติเหล่านี้
พวกโจรก็รีบหลอมทองให้เป็นก้อนเดียวกันเสียหมดสิ้น
เลยหาหลักฐานพงศาวดารของอยุธยาเองได้ยาก (อันนี้สะกดแบบปัจจุบันแล้ว-ฮา)
แต่โชคดีที่อยุธยาติดต่อกับต่างบ้านต่างเมืองมาก
ก็เลยมีพงศาวดารไปปรากฏอยู่ตามประเทศเพื่อนบ้าน
ที่นี้ไอ้ที่ต้องแปลจากไทยเป็นมอญแล้วแปลมอญเป็นพม่า
แล้วเราก็แปลพม่ามาเป็นไทยอีกที
มันก็ย่อมมีการคลาดเคลื่อนมาก
อนึ่ง
หากมีตอนใดที่เห็นว่ามันเป็นการว่าพม่ามาก
ทางโน้นเขาก็อาจจะปรับ ๆ ให้ฝ่ายเขาดูดีขึ้นมาบ้างก็ได้
อย่างนี้เราก็ไม่รู้
ต้องอาศัยการตรวจสอบจากหลายแหล่งข้อมูล
การศึกษาประวัติศาสตร์แถบแถวถิ่นบ้านเรานี้
สนุกอย่างหนึ่ง
คือมันเต็มไปด้วยเรื่องราวเหนือวิสัย
กษัตริย์องค์ใดมีบุญญาธิการก็มักจะได้รับการบอกเล่าอย่างเลิศเลอ
จนแทบไม่มีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่
แต่หากเป็นเสมือนหนึ่งเทพเจ้า
หรือไม่ก็มีเค้าลางว่าเป็นเทพเจ้าลงมาเกิด
อะไรเทือกนี้
กระนั้นเราก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า
เรื่องอย่างนี้ไม่เป็นความจริง
ความจริงในมุมของคนกลุ่มหนึ่ง
กับคนอีกกลุ่มหนึ่งย่อมไม่เหมือนกัน
การมองเห็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง
พวกหนึ่งเห็นอย่างหนึ่ง
อีกพวกอาจเห็นอีกอย่าง
แล้วมันก็ไม่แน่เหมือนกันว่า
พวกที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ ทดลองซ้ำได้ หรืออ้างอิงได้
มันจะถูกต้องเสมอไปแล้วอีกฝ่ายจะผิดเสมอมา
เอาง่าย ๆ อย่างเรื่องฟ้าผ่า
บางจำพวกก็บอกว่า รามสูรขว้างขวานใส่เมฆขลา
บางจำพวกก็บอกว่า มันเป็นประจุไฟฟ้าวิ่งเข้าหากัน
อย่างนี้เราก็บอกไม่ได้หรอกว่า
ไอ้พวกประจุไฟฟ้านั้นมันถูกฝ่ายเดียว หรือพวกเมฆขลามันถูกเท่านั้น
เพราะมันพิสูจน์ด้วยวิธีการคนละแบบ
มันอาจมีเมฆขลากับรามสูรจริง ๆ ก็ได้ ใครจะไปเห็น
หรือบางคนเขาอาจจะเห็น
และประจุไฟฟ้า มันก็เป็นจริงของเขาเหมือนกัน
เพราะพิสูจน์ด้วยกระบวนการอย่างนั้น
มันก็ได้ผลออกมาอย่างนั้น
สรุปง่าย ๆ ก็คือ มันเหมือนตาบอดคลำช้าง
ไอ้พวกคลำขาก็ว่า ช้างนี้มันเป็นแท่ง ๆ
ไอ้อีกพวกก็บอก ผิดแล้ว ช้างมันเป็นแผ่นบาง ๆ ต่างหาก
เพราะคลำถูกหูช้าง
เรื่องอย่างนี้คนสมัยใหม่มักเอาไปดูถูกคนสมัยก่อน
ว่างมงาย หรือเชื่อเรื่องเหลวไหลไร้สาระ
เพียงเพราะบางจำพวกที่เขาเข้ามานั้น
เขาเอาชุดข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผลกว่ามานำเสนอ
(และอ้างว่าพิสูจน์ได้ ทำซ้ำได้ผลเหมือนเดิม)
และคนเราสมัยนี้ก็มุ่งเน้นไปอย่างนั้น
นิยมไปอย่างนั้น
อนึ่งพวกเขามีมากกว่า และเอาเรื่องไฟฟ้านี้มาใช้ประโยชน์ได้มากกว่า
ด้วยน้ำมือของมนุษย์มากกว่า ควบคุมได้มากกว่า
ก็ย่อมน่าเชื่อถือกว่า
เพราะบ้านเราเมืองเราเอาของอย่างนั้นมาใช้ไม่ได้
อ้อนวอนเทวดาไปฝนก็ตกบ้างไม่ตกบ้าง
ตามแต่บุญแต่กรรมแต่ความต้องการของเทวดากันไป
มันเคยมีคนเอาพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุไปพิสูจน์
ด้วยกระบวนการแยกธาตุ
ว่าประกอบด้วยธาตุอะไร
ข้าพเจ้าอ่านผ่าน ๆ
เห็นหลวงตาท่านบอกว่า
"เขาว่ามันเป็นซิลิก้า ๆ อะไรนี่แหละ"
ทำนองนี้ ข้อความอาจจะผิด แต่เนื้อความไม่ผิดแน่
ความจริงก็เป็นที่สนใจของผู้คนมาทุกยุคทุกสมัย
เรื่องพระบรมสารีริกธาตุ
ว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จอย่างไร
ทำไมกระดูกคนกลายเป็นรูปร่างอย่างนั้นได้
ตามที่ท่านว่า
ก็คือ ธาตุขันธ์ที่ถูกฟอกดีแล้วของพระอรหันต์
จะกลายเป็นพระธาตุได้
พระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ประเภทหนึ่ง
คือ สัมมาอรหันต์ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ดังนั้นกระดูกท่านที่ถูกเผารวมทั้งเถ้ากระดูก
ก็ได้กลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุ
มีบางส่วนเท่านั้นที่ไม่ได้กลายเป็นพระบรมสารีริธาตุอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
อย่างเช่น พระเขี้ยวแก้ว อย่างนี้เป็นต้น
พระเขี้ยวแก้ว ก็คือ ฟันเขี้ยว ของพระพุทธเจ้า
ทั้งสี่ซี่นั้นไม่ไหม้ไฟ
นอกจากนี้ยังมีส่วนอื่นอีกที่ไม่ไหม้ ผู้สนใจก็ไปค้นหาดูได้
ว่าเรื่องพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุ กันต่อ
พระธาตุนี้ บางครั้ง เมื่อหลังประชุมเพลิงเสร็จ
ก็อาจไม่ได้กลายเป็นพระธาตุทันที
แต่ทิ้งไว้นานไป เถ้ากระดูกนั้นได้รวมกันบ้าง
แยกกันบ้าง เปลี่ยนสัณฐานบ้าง
กลายเป็นพระธาตุ มีรูปแบบต่าง ๆ กัน
หลักฐานส่วนนี้มีให้เห็นในปัจจุบันคือ พระธาตุหลวงปู่มั่น
ซึ่งผู้ได้ครอบครองต่างประหลาดใจกับสิ่งที่เป็นไป
เช่น บางครั้งบางคนมีพระธาตุอยู่ พระธาตุนั้นหายไป
บางคนมีเพิ่มขึ้นมา
หรือจากเล็กเป็นใหญ่ จากใหญ่กลายเป็นเล็ก
อย่างนี้ก็มีเล่ากันมาอยู่เรื่อย ๆ
หรือบางคนเก็บเถ้ากระดูกเอาไว้ อยู่มาวันดีคืนดีไปเปิดดู
อ้าวกลายเป็นพระธาตุ อย่างนั้นก็มี
จบเรื่องนี้ไว้แต่เท่านี้ก่อน
ไว้คราวหน้าค่อยมาเล่าใหม่
ธัชชัย ธัญญาวัลย
๘ มิถุนายน ๒๕๕๖
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น