"...ถ้าปัจจัยทั้งสี่ประการนี้พร้อมเมื่อไหร่
ถวายก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามก็อาจมีผลานิสงส์มากกว่าถวายเงินนับแสนนับล้านบาทเสียอีก
หรือถวายหนังสือเรียนธรรมะแก่สามเณรน้อยสักรูปหนึ่ง
อาจให้ผลกลายเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องนับได้หลายร้อยภพชาติก็เป็นได้..."
ว. วชิรเมธี
ใน "ธรรมะทำไม"
ข้าพเจ้าไม่สงสัยเรื่องปัจจัยสี่ประการ
(แต่ก็แอบสงสัยอยู่บ้าง
เมื่ออ่านดี ๆ แล้วพบว่า
ข้อหนึ่งกับข้อสี่นั้นต่างกันอย่างไร
ทำไมสงเคราะห์เข้าด้วยกันไม่ได้
คัดมาให้อ่านดังนี้
“กล่าวโดยสรุป
สาระสำคัญของการถวายทานไม่ได้อยู่ที่ข้าวของต้องใหญ่
ต้องหายาก ต้องวิจิตรงดงามอลังการ
หรือราคาค่างวดของสิ่งที่จะถวายต้องมากหรือแพงลิบลิ่ว
หากแต่อยู่ที่
๑.
บุคคลผู้รับทาน
คือพระสงฆ์ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
มีศีลาจาวัตรงดงาม
๒.
ปัจจัยหรือวัตถุที่จะถวายทาน
เป็นของบริสุทธิ์ ได้มาโดยชอบธรรม
๓.
เจตนาในการให้ทาน
บริสุทธิ์ทั้ง ๓ กาล คือ
ทั้งก่อนให้ ขณะที่ให้
และหลังจากให้ไปแล้ว
๔.
ผู้รับทาน คือ พระสงฆ์
มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น
พระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติใหม่
ๆ")
และไม่สงสัยในผลานิสงส์ของการถวายทาน
แต่ข้าพเจ้าสงสัยว่า
การถวายหนังสือธรรมะนั้น
ส่งผลให้เรากลายเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องจริงหรือ
มองผิวเผินดูเหมือนไม่มีอะไร
ถ้าเราถือตามกฎว่า
ให้อะไรเราก็ได้อย่างนั้นกลับคืน
ซึ่งกฎอันนี้เป็นจริงแบบทื่อ
ๆ
อย่างให้ข้าว
เราก็ได้ข้าว ได้น้ำเราก็ได้น้ำ
อย่างนี้หรือเปล่า
แต่เท่าที่ข้าพเจ้าเคยสดับตรับฟังมา
ให้อาหารเป็นทานนั้น
จะทำให้เราเป็นผู้มีพลัง
คือหมายเอาผลมาเป็นผล
อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน
ส่วนการให้ข้าวได้ข้าวนี้
ก็ไม่น่าจะผิดอะไร
หรือเราอาจจะคิดไปว่า
ให้ข้าว แล้ว ชาติหน้าเราจะมีผลาหารสมบูรณ์
อย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าจะถูกต้องหรือเปล่า
แต่ที่แน่
ๆ เรารู้สึกว่า
มันไม่ขัดกับความรู้สึกของเรา
ถ้าอย่างนั้น
ให้หนังสือเป็นทาน
ก็น่าจะได้ความฉลาด
คือเทียบกับให้ข้าวแล้วได้พลัง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
เราต้องไม่ลืมกาลามสูตรที่ว่า
อย่าเชื่อเพียงเพราะมันเป็นตรรกะที่ควรเชื่อ
อย่าเชื่อเพราะมันเข้ากันได้กับความคิดความเชื่อของเรา
อย่าเชื่อเพราะอ้างตำรา
และอย่าเชื่อเพราะครูผู้กล่าวนั้นเป็นครูของเรา
จึงถ้อยกระทงที่ข้าพเจ้าจะกล่าวอ้างดังข้างล่างนี้
ก็ย่อมยังไม่ควรเชื่อ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ให้ทาน
ทำให้ร่ำรวย
มีศีล
ทำให้มีรูปงาม
มีภาวนา
(สมถและวิปัสสนา)
ทำให้ฉลาด
(แต่ทั้งนี้ในชาติหนึ่ง
ๆ ก็ขึ้นอยู่กับกรรมอื่นด้วย)
ถ้าเราให้หนังสือธรรมะ
เราจะได้หนังสือธรรมะ
หรือได้ความฉลาด
ถ้าคนที่ได้หนังสือที่เราให้ไปเอามันไปวางทิ้งไว้
หรือไม่ได้นำพาที่จะเปิดออกอ่าน
เขาจะได้ผลจากการให้ของเราหรือไม่
หรือเราคิดว่า
ก็กูให้ไปแล้ว
เป็นการให้แล้ว
กูก็ย่อมได้ผล
มันจะเอาไปรองขาตู้หรือเอาไปชั่งกิโลขายก็ช่างหัวมันเถอะ
อย่างไรก็ตาม
โดยส่วนตัวข้าพเจ้าคิดว่า
ทุกอย่างก็มีผลสัมพันธ์กัน
แต่เราจะเหมาว่า
ให้หนังสือธรรมะแล้วทำให้เราเป็นคนฉลาด
ถ้าอย่างนั้น
ชาตินี้เราก็ไม่ต้องทำอะไร
ซื้อหนังสือธรรมะแจก
ๆ ชาวบ้านไป
เดี๋ยว(ชาติหน้า)ก็ฉลาดขึ้นเอง
อย่างนั้นหรือ
(ข้าพเจ้าอ้างอย่างนี้เพราะในหนังสือดังกล่าว
(หรือเล่มอื่น ๆ
) ของผู้เขียน
ท่านมักอ้างทำนองนี้
ลองมาดูตัวอย่าง
“ถ้าชีวิตคนเราจะดีขึ้นหรือเลวลงเพียงเพราะอิทธิพลของ
"ชื่อ"
(ซึ่งเป็นสิ่งสมมุติ)
เราก็ไม่น่าจะต้องเสียเวลาร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยกันตั้งหลาย
ๆ ปี ไม่น่าจะเอาเงินทองไปทุ่มจ่ายค่าเทอมกันแพง
ๆ เลย
และวิชาวิทยาศาสตร์ทั้งหลายที่สอนให้คนรู้จักคิดรู้จักใช้เหตุผลกันในมหาวิทยาลัยควรจะโละทิ้งเสียด้วยก็ได้...ฯลฯ...อยากให้ชีวิตดี
อยากให้อนาคตสดใส
ก็เปลี่ยนชื่อที่มีความหมายดี
ๆ เสียก็สิ้นเรื่อง
อยากมีเงินก็เปลี่ยนชื่อที่มีความหมายในทางมีเงินมีทอง
อยากมีอำนาจก็เปลี่ยนชื่อที่มีผลในทางเสริมอำนาจ
ฯลฯ”)
ซึ่งแน่นอนว่า
จะอ้างอย่างนี้ไม่ได้
ทั้งในกรณีทำบุญด้วยหนังสือ
และกรณี "ชื่อ"
เพราะทุกอย่างย่อมมีหลายปัจจัย
เราจะปฏิเสธภูมิปัญญาบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับสมมุติที่มันเป็นกรรมและผลของกรรม
ที่ส่งผลถึงกันและกันในโลกซึ่งเป็นสมมุติสัจจะนั้น
ย่อมจะทำไม่ได้ทั้งหมด
แม้จะอ้างเหตุผลดิบดีน่าเชื่อถือเพียงใดก็ตาม
อย่างกรณีเรื่องชื่อนี้
ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์
ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องมีชื่อ
ที่กอปรด้วยถ้อยคำอันเป็นมงคล
เมื่อครั้นตรัสรู้แล้ว
พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกพระองค์เองใหม่ว่าเป็นพุทธะ
ถ้าชื่อมันไม่มีผลกระทบอะไร
หรือพระสงฆ์องค์เจ้า
เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน
ก็ไม่ต้องตั้งชื่อเสียให้ยาก
ก็เรียกพระเจ้าจึ๊กเจ้าจึ๋ย
อะไรไปเสียก็สิ้นเรื่อง
เรื่องที่เป็นเรื่องสมมุติ
ก็ต้องพิจารณาแบบสมมุติ
(เรื่องของบาปบุญนี้ก็ถือว่ายังอยู่ในโลกแบบสมมุติเช่นกัน)
จะคัดง้างแบบทิ้งจำพวกนี้ไปเลยเสียมิได้
เพราะคนก็คือคน
เปลี่ยนชื่อแล้วอาจจะดีขึ้นก็ได้
เพราะชื่อทำให้ระลึกถึงธรรมบางอย่างอยู่เนือง
ๆ
หรือเพราะชื่อทำให้มีกำลังใจ
มีจิตเป็นกุศลจิต
โลกสมมุติมันก็ต้องมีกรรมและผลของกรรม
เรื่องอย่างนี้มันก็เป็นกรรมและผลของกรรมอย่างหนึ่ง
(จะอ้างถ้อยวาทกรรมเกี่ยวแก่
ชื่อนั้นสำคัญไฉน
หรือจะอ้างคำเดียรถีย์เช็กสเปียร์
มาคัดค้านเรื่องนี้ก็เชิญอ้างได้)
มีถ้อยคำว่า
การให้ธรรมะเป็นทาน
ชนะการให้ทั้งปวง
การให้ทานก็ย่อมต้องพิจารณาตามปัจจัยที่กล่าวอ้าง
(เพราะยังเป็นเรื่องของ
ทาน คือการให้)
วัตถุที่ให้ทาน
เจตนาในการให้ทาน
และผู้รับทาน
ในการให้ธรรมะเป็นทาน
วัตถุที่ให้ก็คือธรรมะ
หมายถึงเนื้อหาธรรม
ก็ต้องดูผู้รับด้วย
ไม่ใช่ว่า
ให้ ๆ ไป
แจก ๆ
หนังสือไป หรือเทศนาสั่งสอนไป
เพราะถ้าเราจะหมายเอาว่า
แค่ฉันได้แจกหนังสือ
หรือ กล่าวสั่งสอนใครสักคนก็เป็นทานสุดยอดแล้ว
อย่างนี้อาจจะผิดก็ได้
เพราะคนที่รับเขาไม่อยากรับ
หรือเขาไม่อยากฟัง
พูดไป
ก็รังแต่จะเป็นโทษทั้งผู้ให้
(ผู้พูด) และผู้รับ
(ผู้ฟัง) เปล่า
ๆ
เอาหนังสือให้เขาไป
เขาเอาไว้หนุนขาตู้
แล้วเราไปเห็นเข้า
เราก็เสียใจ
คนเอาไปหนุนขาตู้ก็ต้องรับกรรมไป
เพราะบางทีหนังสือมีรูปพระพุทธเจ้าอยู่
คนรับเป็นเดียรถีย์พวกนอกศาสนา
อย่างนี้เป็นต้น
หรือพูดไป
ๆ ไม่ถูกใจเขาเอาไม้ฟาดปากเอา
อย่างนี้เป็นต้น
(เรื่องอย่างนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว
พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติว่าด้วยการแสดงธรรมเอาไว้อย่างแจ่มแจ้ง
ว่าการแสดงธรรม-ให้ธรรมเป็นทาน
นั้น ควรแสดงเวลาใด
ไม่ควรแสดงเวลาใด ในสถานการณ์ใดบ้าง)
ดังนั้น
การให้ธรรมะเป็นทานก็ดี
การให้หนังสือธรรมะเป็นทานก็ดี
ก็ต้องพิจารณาผู้รับเป็นสำคัญ
(และผู้ให้ก็ยิ่งสำคัญ
ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์พุทโธหรือเปล่า)
ไม่อย่างนั้น
ถ้าเราอยากให้ธรรมะเป็นทาน
ถ้าเราคิดว่า
เรามีหน้าที่ให้ก็ให้ ๆ ไป
อย่างนี้ไปเทศน์ให้หัวตอฟังก็ได้
ซึ่งการเทศน์ให้หัวตอฟังนี้
ไม่ต่างจากเอาหนังสือธรรมะไปให้ผู้ไม่สนใจอ่านเลย
แม้ผู้นั้นจะชื่อว่าพระหรือว่าเณรก็ตาม
ถ้าเขาไม่เอาไม่อ่านแล้วไซร้
มันก็เท่านั้น
ดังนั้นที่เห็นตักบาตรหนังสือกันให้รึ่มอยู่ทุกวันนี้
ข้าพเจ้าสงสัยแท้ทีเดียวว่า
ทำไปแล้วเกิดผลดีอะไรมากกว่าการเอาหนังสือไปมอบให้โดยตรงบ้าง
ความจริงเราเอาให้ตรง
ๆ ก็ได้
ไม่เห็นต้องไปทำพิธีกรรมตักบาตรอะไรกันให้วุ่นวาย
เปลืองทั้งเวลาและงบประมาณ
ถ้าเรามีเจตนาจะให้
เอาไปทิ้งไว้ให้รู้ว่าให้
เหมือนผ้าบังสุกุล
ก็ไม่เห็นจะเสียผลานิสงส์
อะไรสักน้อย
หรือเพราะวาทกรรมที่ว่า
ให้หนังสือแล้วชาติหน้าร้อยชาติถัดไปจะเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องอย่างนั้นหรือ
แล้ววาทกรรมนั้น
เป็นจริงหรือเปล่า
จริงแล้วจริงมากน้อยแค่ไหน
อย่างนี้ต่างกันหรือเปล่ากับความเชื่อของบางสำนักที่ในหนังสือไปพาดพิงถึงเรื่อง
"ทำบุญมากได้มาก
ทำบุญน้อยได้น้อย
ทุ่มสุดตัวได้มากสุดประมาณ"
เพราะอย่างหลังนี่ก็เป็น
วาทกรรม เหมือนกัน
และวาทกรรมทั้งสองนี้ก็ใช่จะผิดทั้งหมดเสียทีเดียว
ส่วนถูกมีอยู่
แต่ผู้รับก็จะเหมือนกินข้าวผสมกรวดทรายนั่นแหละ
กล้ำกลืนกันไป
ประโยชน์มากประโยชน์น้อยก็คงเป็นเรื่องของแต่ละคน
ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้คัดค้านหรือเห็นด้วยทั้งหมดทั้งมวลกับทั้งสองสำนักนี้
และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใด
ๆ กับทุกฝ่าย
หากข้าพเจ้าเพียงแต่สงสัยเท่านั้น
และไม่ได้มีเจตนามุ่งร้ายต่อผู้หนึ่งผู้ใด
หรือทำตัวขัดขวาง
หากแต่เมื่อมีสิ่งที่ชวนให้สงสัย
ข้าพเจ้าในฐานะชาวพุทธคนหนึ่ง
ก็ย่อมต้องตั้งประเด็นขึ้นมา
ก็เท่านั้น
แท้แล้ว
ความสงสัยของข้าพเจ้าก็มิได้มีเพียงเท่านี้
แต่ก็นั่นแหละ
ถึงอย่างไร
ข้าพเจ้าก็อาจเป็นเพียง
"หมาเห่าตีนช้าง"
เท่านั้น
หากบางที
เท่าที่ข้าพเจ้าได้เห็นมา
ช้างแถว
ๆ ถิ่นข้าพเจ้าอยู่
เวลาหมาเห่ากลับถอยกรูด ๆ
ไปเสียก็มี
ไม่เชื่อเชิญมาทัศนา
"พังปูเป้"
ที่ข้าพเจ้าให้อาหารมันประจำ
มันเกรงหมาตัวเล็ก
ๆ นัก
(ฮา)
ทิวฟ้า
ทัดตะวัน
๔ มิถุนายน
๒๕๕๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น