สังฆัสสาหัส๎มิ ทาโส วะ สังโฆ เม สามิกิสสะโร
ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระสงฆ์ พระสงฆ์เป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า
คาถานี้มีในบทสวดมนต์ทำวัตรเย็น
น่าจะแต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔
หรือหากไม่ก็รัชกาลที่ ๔ นั่นแหละ
พระราชนิพนธ์ขึ้นมาเอง
ครั้งสมัยทรงผนวชเป็นพระภิกษุ
จากคาถาอย่างนี้เอง
ที่ท่านพุทธทาสนำมาตั้งเป็นชื่อท่าน
พุทธัสสาหัส๎มิ ทาโส วะ พุทโธ เม สามิกิสสะโร
ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า
ภาพข้างบนเป็นภาพที่แพรวาถ่ายเมื่อนานมาแล้ว
สมัยเราไปวัดป่านาคำน้อยกันใหม่ ๆ
ก็อย่างที่เล่าไว้ในคราวแรก
ข้าพเจ้าต้องคอยอุปัฏฐากครูบาอาจารย์เสมอ
เพราะท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรา
เป็นผู้เมตตาเรา
เป็นผู้ให้แก่เราอย่างที่สุด
เราจึงต้องตอบแทน
ทุก ๆ ทาง ทุก ๆ อย่างที่เราทำได้
ข้างบนเป็นบาตรของครูบาวิทย์
ท่านครูบาวิทย์นี้เอง
คือผู้ที่เอาสายบาตรคล้องคอข้าพเจ้าเป็นคนแรกในชีวิต
เมื่อครั้งข้าพเจ้าไปปฏิบัติธรรมตอนปีใหม่ ๒๕๕๕
ท่านก็เป็นผู้จัดหาที่พักแก่ข้าพเจ้า
พาข้าพเจ้าไป
กวาดกุฏิให้
สอนหลักสำคัญของการภาวนาให้
และทุกครั้งที่ไปต่อ ๆ มา
ก็เป็นครูบาวิทย์อีกนั่นแหละ
ที่บอกว่า
ให้ข้าพเจ้าไปอยู่กุฏิไหน
เมื่อครูบาอาจารย์ชี้ทางให้แล้ว
ข้าพเจ้าก็ไปอยู่
แม้บางแห่งจะมีปัญหาติดขัดบ้าง
ก็ทนอยู่
เพราะเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์
และเชื่อว่า
ถ้าครูบาอาจารย์ได้บอกอย่างไรแล้ว
ก็น่าจะเป็นเพราะมีเหตุอยู่แล้ว ๑
เพราะดีอยู่แล้ว ๑
เพราะเป็นประโยชน์ ๑
เพราะสัปปายะ ๑
อีกอย่าง
เรื่องการถืออยู่อันที่เขาจัดไว้ให้นี้
เป็นธุดงควัตรข้อหนึ่ง
คือ
ยถาสันถติกังคะ อยู่ในที่พักที่เขาจัดให้โดยไม่เลือก
ครูบาวิทย์นี่เอง
เป็นผู้ตอบข้อสงสัยต่าง ๆ ของข้าพเจ้า
โดยไม่ปิดบังอำพราง
จึงเป็นประเพณีส่วนตัวของข้าพเจ้า
(ความจริงประเพณีนี้เริ่มมาจากปรัชญา)
ว่า
คืนก่อนวันจะกลับหนึ่งคืน
จะต้องไปสนทนาธรรมกับท่าน
ไปกราบเรียนผลการปฏิบัติกับท่าน
(ส่วนหลวงพ่อนั้น ไปกราบท่านตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ
กล่าวโดยรวมก็คือ
ก่อนวันจะกลับ
ตอนบ่ายแทนที่จะไปกวาดลานวัด
ก็ไปกราบสนทนากับหลวงพ่อเสีย
แล้วตอนเย็นก็ไปกราบครูบาวิทย์)
มีข้อแปลกอยู่อย่างหนึ่ง
คือเรื่องอะไรก็ตาม
ที่ข้าพเจ้าสงสัย
เช่น เดินจงกรมอยู่
แล้วเกิดสงสัยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
หรือพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
แล้วไม่แตกฉาน
หรือจะแตกฉานแล้วก็ดี
ไม่ต้องเอ่ยถามเอ่ยถึงเลย
เมื่อได้สนทนากับท่าน
ท่านจะตอบคำถาม
และแก้ปัญหาเรื่องนั้น ๆ
แก่ข้าพเจ้าโดยอัตโนมัติ
หากเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปก็คงไม่แปลก
แต่บางครั้งข้าพเจ้าก็สงสัยเรื่องที่มันซอกแซก
อย่างเช่นว่า
เออ ถ้าเรามาบวชแล้ว
เกิดวันหนึ่งสมบัติที่เราหาไว้ให้พ่อแม่ของเราหมดลง
พ่อแม่เราจะมิลำบากหรือ
เพราะท่านก็เฒ่าแก่ไปเรื่อยหาเงินหาทองไม่ได้
อย่างนี้เป็นต้น
ท่านก็เมตตาหาโอกาสพูดเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าฟัง
ทั้งที่ไม่ได้เอ่ยปากถามเลย
เรื่องอย่างนี้จะว่าแปลกก็แปลก
จะว่าไม่แปลกก็ไม่แปลก
ถ้าเป็นสมัยเด็ก ๆ
ข้าพเจ้าก็คงแปลกใจบ้าง
แต่เมื่อโตขึ้น
เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิตไปเสียแล้ว
ที่ว่าแปลก ๆ นั้น
ก็ว่าไปตามประสาโลกมนุษย์ ไม่ได้ถือเป็นจริงจังอะไร
อีกเวลาหนึ่ง
ที่เป็นเวลาฟังธรรมของข้าพเจ้า
คือตอนไปบิณฑบาต
ระหว่างเดินไป
ก็สนทนาไปด้วย
เพราะระยะทางจากวัดไปหมู่บ้านก็ไกลโขอยู่
แล้วก็แปลกอีกนั่นแหละ
หากครั้งไหนมีเรื่องต้องคุยมาก
รถก็มักไม่นิมนต์พระนั่ง
แต่ถ้าครั้งไหนไม่มีอะไร
เจ้าของรถก็นิมนต์พระนั่งรถ
คือ
ถ้าเป็นสายหน้าวัด
ทางบ้านนาคำน้อย
จะเป็นถนนใหญ่
พระจะเดินไป
ถ้ามีรถโดยสาร
ซึ่งเช้า ๆ เขาจะไม่มีคน
เขาก็จะจอดรับพระไปด้วย
แต่สมัยก่อนหน้านั้น
ครูบาท่านไปสายหลังวัด
ทางขรุขระ
เดินไปได้อย่างเดียว
อันนี้ดีในแง่การสนทนาวิสาสะ
สมัยใหม่นี้
ขาไปอาจจะเดินไป
หรือนั่งรถไป(ถ้ามีคนนิมนต์)
แต่ขากลับจะนั่งรถกลับ
ทั้งสายบ้านนาคำน้อย
สายบ้านชุมพล
และสายหลังวัด
(หลังวัดต้องเดินไปเท่านั้น
จะเป็นทางลัดขรุขระ
ส่วนขากลับรถจะพาอ้อมมาถนนใหญ่)
คือเรื่องนั่งรถกลับนี่ก็เป็นศรัทธาญาติโยมเขา
เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเจริญมาก
คนแถบนั้นก็มีรถกันแทบทุกหลังคาเรือน
บางบ้านมีหลายคันเสียด้วย
อย่างที่ครูบาเคยพูดกับข้าพเจ้า
"ไทยซื้อเหล็ก เจ๊กซื้อดิน"
นั่นแล
พ. พุทธังกุโร
๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๖