ไถ่ถามถึงการเขียนหนังสือ
ทุกวันนี้
ข้าพเจ้าไม่ใคร่ได้เขียนหนังสือด้วยดินสอ
หรือปากกา
แต่ทว่าหลาย ๆ ครั้ง
ข้าพเจ้าก็เขียนด้วยดินสอหรือปากกา
ในสมุดบันทึก
ซึ่งจะว่าจริง ๆ แล้ว
ช่วงสองปีที่ผ่านมานี้
ข้าพเจ้าห่างเหินการเขียนไดอารี่ด้วยลายมือไปมาก
สมัยก่อน
เมื่อข้าพเจ้าเริ่มเขียนหนังสือใหม่ ๆ
ข้าพเจ้าใช้ปากกาบ้างดินสอบ้าง
หมึกแห้งบ้างหมึกซึมบ้าง
ข้าพเจ้าเป็นคนบ้าปากกามาก
ชอบสะสม
บางด้ามก็ราคาเกือบหมื่น
ทั้งที่ไม่ค่อยมีเงินมีทอง
ข้าพเจ้าก็สรรหามา
ข้าพเจ้าเขียนหนังสือโดยใช้ปากกา/ดินสอมาโดยตลอด
จนกระทั่งข้าพเจ้าเรียนจบมหาวิทยาลัย
ข้าพเจ้าจึงละทิ้ง
แล้วเขียนด้วยแป้นพิมพ์แทน
กระดาษที่ข้าพเจ้าใช้
เป็นกระดาษหน้าเดียว
อีกหน้าหนึ่งเป็นอะไรไม่ทราบ
อาจจะเป็นชีทเรียน
หรือเป็นชีทอย่างอื่น
บางครั้ง
กระดาษพวกนี้
ข้าพเจ้าก็ขอมาจากร้านถ่ายเอกสาร
ปกติข้าพเจ้าชอบเขียนหนังสือด้วยกระดาษด้านเดียวอยู่แล้ว
ทั้งนี้เป็นเพราะว่า
หมึกมันมักซึมไปอีกด้าน
แม้ว่าจะเป็นหมึกแห้งก็ตาม
ไม่เชื่อไปค้นดูสมุดจดสมัยเรียนประถมของท่าน
หรือสมัยเรียน ม.ต้น
จะเห็นว่า
หมึกมันซึมทะลุกระดาษ
ดังนั้น
ข้าพเจ้าจึงต้องเขียนหน้าเดียว
ไม่ใช่เพื่อความสุรุ่ยสุร่าย
แต่ต้องการให้บันทึกที่เขียนนั้น
มันสามารถอ่านออก
แม้เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใด
ข้าพเจ้าพิมพ์สัมผัสได้
อันนี้เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าต้องขอบพระคุณคุณครูของข้าพเจ้า
ที่สอนให้ใช้โปรแกรมฝึกพิมพ์ตั้งแต่แรกเรียนคอมพิวเตอร์
และต้องขอบคุณอาจารย์วิชาเลือกสมัย ม. ปลาย
ที่เปิดโอกาสให้เด็กสายวิทย์
ได้เรียนวิชาพิมพ์ดีด
ข้าพเจ้าพิมพ์สัมผัสได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
เพราะลงเรียนมันทั้งสองคอร์ส
สมัยเรียน ม.ปลาย นั้น
เพื่อนข้าพเจ้า
พิมพ์เก่งกว่าข้าพเจ้ามาก
ข้าพเจ้าเรียนเพียงเพื่อเอามาใช้งานได้เท่านั้น
ไม่ถึงกับเก่งกาจอะไร
และบางครั้ง
บางตัวอักษร
ข้าพเจ้าก็ยังต้องก้มหน้าส่องหาบนแป้น
เพราะมันไม่ค่อยได้ใช้
ก็ลืม ๆ ไปบ้าง
สมัยก่อนนี้
ข้าพเจ้าเขียนต้นฉบับ
และนำไปพิมพ์อีกต่อหนึ่ง
แก้ไขตอนเขียน
แก้ไขตอนก่อนพิมพ์
พิมพ์แล้วปริ๊นท์มาอ่าน
แก้
แก้แล้วแก้อีก
แก้อีกแก้แล้ว
แก้จนบางที
วนกลับไปที่เดิม
คือเหมือนกับต้นฉบับแรกเขียนเลยก็มี
ตลกดี
การแก้ไขหรือขัดเกลางานเขียนนั้น
เป็นกิจวัตรของนักเขียน
ที่สำคัญยิ่ง
พอ ๆ กับการเขียนออกมาให้ได้
นักเขียนบางคนให้ความสำคัญกับการแก้ไข
มากกว่าการเขียนเสียอีก
นิยาย นางเลอโฉม
หรือเรื่องสั้น หรือบทกวีอื่น ๆ
เมื่อสมัยที่ข้าพเจ้ายังเรียนมหาวิทยาลัย
ล้วนถูกเก็บต้นฉบับลายมือไว้ทั้งสิ้น
ข้าพเจ้าครุ่นคิดว่า
จะเก็บไว้
เผื่อวันไหนเกิดผีห่าซาตานเข้าสิง
แล้วข้าพเจ้ามีชื่อเสียงขึ้นมา
จะเอาออกขายหาเงินเลี้ยงปากท้องยามยากเสียหน่อย
555
ก็เพ้อเจ้อกันไป
"ไหม"
มันคล้ายคลึงบทกวีมากกว่าจะเป็นนิยายเสียอีก
แต่นั่นแหละ
ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร
เราก็อ่านได้ทั้งสิ้น
เป็นนิยายเพียงเล่มเดียว
ที่อ่านแล้ว
อยากอ่านซ้ำอีกรอบ
ชวนฉงนสนเท่ห์
ส่วนการบันทึกภาพ
ข้าพเจ้าทำเพียงแค่ว่า
ลายมือข้าพเจ้า
เป็นเช่นไรแล้วบ้าง
ในตอนนี้
ธัชชัย ธัญญาวัลย
๒๑ เมษายน ๒๕๕๖
(คลิกที่รูปเพื่อดูขนาดเต็มหากท่านมองไม่เห็นตัวหนังสือนะครับ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น