สมัยก่อน
ตอนยังเป็นหนุ่ม
เป็นเด็กหนุ่ม
มันก็มีชีวิต มีความฝันอะไรฟุ้ง ๆ
ตามสไตล์เด็กมหา'ลัย
ข้าพเจ้าเคยเขียนงานชิ้นหนึ่ง
ชื่อว่า
อยากเป็นหมอฟัน
ความจริงก็อยากตั้งชื่อว่า
อยากฟันหมอเป็น แต่ก็นะ
555
ตอนนี้น่าจะประมาณปี ๔๘
ความจริงก็จำไม่ได้หรอก
ว่าปีสี่ไหน
ไปเห็นที่ลงวันที่เอาไว้
การลงวันที่เอาไว้ในงานเขียน
นี่มันดีอย่างหนึ่ง
มันทำให้เรารำลึกย้อนอดีตที่หลงลืมได้
และมันทำให้เรารู้ว่า
ตอนนั้น
เรายังอ่อนด้อย
หรือยังเป็นเด็ก
ขนาดไหน
ถ้าพูดกันจริง ๆ
ปี ๔๘
ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ยังเรียนอยู่ ปี ๓ เอง
กลับมาอ่านงานชิ้นนี้
แล้วก็ขำตัวเอง
เออ
เขียนไปได้ไง
ลองทัศนาครับ
ป.ล. เรื่องนี้เคยโพสต์ไว้ที่บล็อกใน วิชาการ.คอม
มีน้อง ๆ หลายคนเข้ามาคอมเม้นท์
ไม่ได้ตอบกลับ
รู้สึกผิดเหมือนกัน
ที่ตั้งกระทู้แล้วทิ้งไป
555
บางคนยังรออ่านบทความชิ้นต่อไปอยู่
เฮ้อ ช่างน่าละอายใจจริง ๆ
เอาเป็นว่า
น้อง ๆ คนไหน อ่านแล้ว
สงสัย
ก็ ส่ง e-mail มาถามเป็นการส่วนตัวก็แล้วกัน
(เคยมีน้องคนนึงเมล์มาถามข้าพเจ้าด้วย เมื่อนานมาแล้ว)
เอาละ
ไปอ่านกันจริง ๆ เสียทีนะครับ
"ชีวิต ม. ปลาย สบายหนักหนา
สวัสดีครับทุกท่าน ทั้งที่อยากเป็นหมอฟัน และไม่อยากเป็นแต่อยากรู้ หรือทั้งที่ไม่อยากรู้และไม่อยากเป็น ที่เปิดคอลัมน์นี้ขึ้นมา ก็เพื่ออยากให้ทุกท่าน ได้มีโอกาสทราบว่า กว่าจะเป็นทันตแพทย์ หรือการเรียนทันตแพทย์ หรือ การที่จะเข้ามาเรียนในคณะทันตแพทย์ ได้นั้น เป็นอย่างไร ยากลำบากขนาดไหน และต้องทำอย่างไร โดยเฉพาะน้อง ๆ ม.ปลาย รวมถึงท่านผู้ปกคองที่เฝ้าใฝ่ฝัน อยากให้บุตรหลานเรียนวิชาชีพนี้กันหนักหนา
ก่อนอื่น ขอกล่าวถึงชีวิต ม. ปลายกันก่อนก่อนดีกว่าเนอะ ตัวผู้เขียนเองก็จะได้มีโอกาสนึกถึงวันชื่นคืนสุข สมัยเมื่อเรียน ม.ปลายไปด้วย :P ถ้าถามเด็ก ม.ปลายว่าช่วงไหนของชีวิต ที่คิดว่า สุด ๆ แล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องตอบว่า ชีวิต ม. ปลาย นี่แหละเพ่ สุด ๆ เลย เรียนหนักสุด ๆ เครียดสุด ๆ ปวดหัวสุด หุ่นดีสุด ๆ สวยสุด ๆ ( เกี่ยวมั้ยเนี่ย ) และ ...สุด ๆ สารพัดจะสุด ๆ อะไร ๆ ก็สุด ๆ ไปหมด ( แต่ถ้าถามผู้เขียนนะ ว่า สุด ๆ จริงรึเปล่า ตอบได้คำเดียวว่า... ไม่ครับ ) ที่จริงมันมีอะไรสุด ๆ กว่าชีวิต ม.ปลายเยอะ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ พี่เล่นถามเด็ก ม.ปลายนี่ ลองไปถามเด็กระดับอื่นดูบ้าง หรือไม่ก็นู่นครับ ถามคุณตาที่บ้าน เอ่อ คุณตาครับ ชีวิตคุณตานี่ช่วงไหนที่คุณตารู้สึกว่าสุด ๆ แล้ว ครับ คุณตาท่านก็จะนั่งนึกอยู่นานครับ ( เพราะนึกไม่ออกซักกะที ) ว่าเรื่องของเราต่อครับ
ผู้เขียนก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมายนักเมื่อสมัยเรียนอยู่ ม.ปลาย จบ ม.6 ออกมาด้วยเกรดสามกว่า ๆ ( 3.52 ครับ ไม่อยากบอกเลย อายอ่ะ ) ถามว่าเตรียมตัวสอบ Entrance ( เอ่อ คือว่า สมัยนั้นเขายังสอบ Ent’ กันอยู่น่ะครับ สอบสองครั้ง เดือนตุลาคม แล้วก็เดือนมีนาคม ) ตั้งแต่ตอนไหน ก็โน่นแหละครับ ตอนอยู่ ป.4 เอ๊ย ! ไม่ใช่ ตอนเข้า ม.4 ครับ แต่ว่า...อะแฮ่ม อย่าได้ตกใจไปครับ ที่ว่า ม.4 น่ะ ก็งั้น ๆ แหละครับ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายสักเท่าไหร่ รู้แค่ว่าตัวเองอยากเป็นหมอ ( ตอนนั้นความคิดที่ว่า อยากเป็นหมอฟัน ไม่มีซักกะนิด ) และรู้ว่าถ้าอยากเป็นหมอ ก็ต้องเรียนเก่ง ๆ สอบ Entance ให้ได้คะแนนเยอะ ๆ เข้าไว้ วิธีการน่ะหรือ ไม่เห็นยาก ก็
1. ตั้งใจเรียนไปสิ ( ใช่มะ )
2. ฝึกทำข้อสอบ Ent’ ปีเก่า ๆ ให้มันเยอะ ๆ ( เพราะข้อสอบมันก็ไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว ออกอยู่แถว ๆ นั้นแหละ วน ๆ เวียน ๆ )
แต่นี่แหละครับ คือหินสุด ๆ ของชีวิต ม.ปลายหละ และยิ่งมีความกดดันเข้ามาอีกว่า ต้องใช้ GPA อะไรนั่นอีก ยิ่งไปกันใหญ่ ตอนนั้นก็มึน ๆ ตามประสาโง่ว่า อะไรหว่า GPA มันเป็นโครงรถกระบะยี่ห้อใหม่รึเปล่า ( คล้าย ๆ GOA อะไรทำนองนั้น-ขำจริง จริ๊ง :D ) ไม่รู้เรื่องครับ แค่รู้ว่า อ๋อ มันคือผลการเรียนของเราซึ่งก็คือ เกรด นั่นเอง บอกอย่างนี้ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง ก็ไม่เห็นมันยากตรงไหน กลับไปที่ ข้อ 1 สิครับ ( ตั้งใจเรียนไปสิ-ใช่มะ)
เรียน ม.ปลายวันแรก ๆ ก็ไม่มีปัญหาครับ เข้าใจทุกอย่าง ( เพราะว่าอาจารย์ให้จดจุดประสงค์อยู่นั่นแหละ-ไม่รู้ว่าสมัยนี้ยังมีอยู่รึเปล่า ) พอเรียนไปเรื่อย ๆ สิครับ เอ๊ะ ! มันยังไง ชักจะงง ๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้ เซต ยูเนียน อะไรหว่าเกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน เฮ้ย ! งงไปหมด แถมยังมี สูตรอะไรประหลาด ๆ จากวิชาฟิสิกส์ เคมี ศัพท์บ๊อง ๆ จากชีวะ ทฤษฎีแปลก ๆ ของสังคม ภาษาเลิศหรูต้องแปลกันสามตลบในภาษาไทย และนอกจากนั้นยังมีภาษาอังกฤษที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องมาให้ปวดหัวอีกตะหาก ( ก็พี่ฝรั่งแกเล่นพูดลิ้นพันกันซะอย่างงั้น-ว่าเขาอีก )
สรุปก็คือว่า ล่มจม เลยครับ พังพินาศหมด ผลสอบกลางภาคออกมาเละเป็นโจ๊กจุฬาฯ ( ถ้าอยากรู้ว่า ทำไมต้อง “โจ๊กจุฬาฯ” ให้มาทานข้าวที่โรงอาหาร เอ๊ย ! เขาเปลี่ยนใหม่แล้วเป็นศูนย์อาหารคณะทันตฯ ครับ แล้วท่านจะรู้ ) แต่ อืม..มม ยิ่งกว่าโจ๊กครับ ถ้าใครเคยช่วยคุณแม่เลี้ยงน้องต้องรู้จักแน่ ๆ อาหารเด็กน่ะครับ ยี่ห้อ อะไรนะ อ๋อ เนสท์เล่ ซีรีแล็ก ( ไม่รู้เขียนถูกรึเปล่า ) นั่นแหละครับ อย่างนั้นเลย ( ที่รู้จักเพราะว่าแอบช่วยน้องกินบ่อย ๆ ครับ จุ๊ ๆ เบา ๆ ครับ เดี๋ยวแม่ได้ยินจะตามมาดุทีหลัง :D )
ก็เลยต้องคิดใหม่ทำใหม่ ( เหมือนโนบายอะไรซักอย่าง ของใครบางคน –ชักหาเรื่องครับ) ที่จริงคิดใหม่นี่มันง่ายครับ แต่ให้ทำใหม่นี่สิ เฮ้อ ! ท้อแท้จริง ๆ นี่เพิ่งเริ่มต้นนะเนี่ย
สรุป ( อีกครั้ง) ก็คือ ต้องยอมไปเรียนพิเศษ ( ผู้เขียนไม่ชอบเรียนพิเศษ ครับ มันมาเบียดบังเวลาแห่งความสุข ) วิชาที่คิดว่าห่วยที่สุด คือ คณิตศาสตร์ ด้วยความที่มีแม่ดีครับ ท่านแม่ของผมก็ไปฝากฝังให้เรียบร้อย
ไปเรียนพิเศษแล้วแทนที่จะดีขึ้น เหมือนเดิมครับท่าน ที่ทำไม่ได้ก็ไม่ได้เหมือนเดิม ก็เลยคิดว่า เอ...ตัวเองโง่เกินไปรึเปล่า สำหรับสายวิทย์ ( ที่จริง ตั้งแต่ก่อนเข้า ม. 4 อยากเรียนสายศิลป์ครับ ) และโง่เกินไปรึเปล่า สำหรับวิชาคณิตศาสตร์ ก็นั่งคิดไปคิดมา นี่ฉันโง่หรือ ( วะ ) คิดมาคิดไปอีก เฮ้ย ! ไม่ได้โง่นี่หว่า จำได้ว่า สมัยเรียนอยู่ชั้นประถมเคยเรียนวิชาคณิตศาสตร์เก่งที่สุดในชั้นนี่ แถมเคยไปสอบแข่งกะเขาด้วย ได้ตั้งที่ 3 แน่ะ เออ...แฮะ ไม่โง่ ๆ ( ก็เล่นนึกอดีตซะยาวไกลขนาดนั้น ) เลยกลับมาตั้งใจใหม่
เริ่มคิดถึงอนาคต ความฮึดสู้ก็กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ถ้ามัวเล่น ๆ อยู่มีหวังไปไม่ถึงไหนแน่ ๆ ทำให้เริ่มต่อสู้ในการเรียนม.ปลายใหม่ อีกครั้ง ยังดีที่ผู้เขียนยังมีวิชาที่ชอบอยู่บ้างคือ ชีววิทยา และมีความฝันอันแรงกล้าที่จะเป็นหมอ ทำให้มีแรงตั้งใจเรียนต่อไปต่อไป ( ซึ่งความตั้งใจนี้ก็จะหยุดเป็นพัก ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ ครับ เหมือนใจอนงค์ยังไงยังงั้น –ว่าไปนั่น )
ฝากถึงน้อง ๆ ที่กำลังเรียน ม. ปลายนะครับว่า ตั้งความหวังไว้ให้ดี ขอให้มีความหวัง แล้วจะมีพลังเพื่อก้าวเดินต่อไปให้ถึงจุดหมาย ลุกขึ้นทำเสียตั้งแต่วันนี้ ยังไม่สายนะครับ
ทิวฟ้า ทัดตะวัน
๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๘"
ธัชชัย ธัญญาวัลย
๐๑ ๐๘ ๒๕๕๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น