พักหลัง ๆ มานี้
ข้าพเจ้าไม่ค่อยโมโหโทโส อะไรสักเท่าไหร่
หากจะมีใครด่าว่า
ข้าพเจ้าเป็นคนโง่บ้าง เป็นคนเลวบ้าง
เป็นคนคบไม่ได้บ้าง หลอกลวงบ้าง
หรืออะไรต่าง ๆ บ้าง
ไม่ใช่เพราะข้าพเจ้าละกิเลสอะไรได้
แต่เพราะข้าพเจ้าตระหนักรู้ว่า
ตัวเองนั้นเป็นคนโง่ เป็นคนเลว
เป็นคนไม่น่าคบหา เป็นคนหลอกลวง
และเป็นอะไรต่าง ๆ ตามที่เขาว่ามา
แม้มันจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่มันก็ต้องมีบ้างเสียน้อยหนึ่ง
หรือมันก็ต้องเคยเป็นเคยมีมาบ้าง
ข้าพเจ้าก็เอาคำเหล่านั้นมาพิจารณาดูอยู่เสมอ
เราเป็นคนโง่ตรงไหน เลวตรงไหน
ไม่น่าคบหาตรงไหน หลอกลวงตรงไหน
มากบ้างน้อยบ้าง ก็ตามกำลังสติปัญญาที่มันจะทำไหว
อันไหนละได้ก็ละไป อันไหนละไม่ได้ ก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้น
ให้มันโง่อยู่อย่างนั้น ให้มันเลวอยู่อย่างนั้น
ให้มันหลอกลวง ไม่น่าคบหาพูดจาด้วยอยู่อย่างนั้น
ให้มันสารเลวอะไร ๆ ต่าง ๆ อยู่อย่างนั้น
เพราะมันสุดวิสัยจะแก้ไขได้ในขณะนั้น
แต่บางอย่างที่มันไม่เป็นความจริงที่เขาว่าก็มี
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้รับเอามา
เพราะไม่รู้จะรับอะไร เพราะมันไม่มีไม่เป็น มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
เขาจะว่าโง่บ้าง เลวบ้าง หลอกลวงบ้าง คบไม่ได้บ้าง
ชั่วช้าสารเลวอะไรต่าง ๆ บ้าง
ถ้ามันไม่ใช่ของเรา ก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอันใด
จนบางครั้งคนว่าเราเขาก็ขี้เกียจว่าก็มี
หาว่าเราเป็นคนด้านชาหน้าหนาไปก็มีอีก
พระพุทธเจ้าท่านว่า
ของที่เขาเอาให้เรา ถ้าเราไม่รับ เขาก็ต้องหอบเอาไว้เอง
เก็บเอาไว้เอง
กับข้าวที่เขาเอามาต้อนรับเรา
เมื่อเราไม่กิน
เขาก็ต้องเอาไปกินเอง
ก็เป็นเรื่องเช่นนั้นเอง
บางทีคนเรามันไปโกรธคนอื่นเขาที่เขาว่าให้
หรือที่เขาพูดออกมา แสดงออกมา
เพราะมันไปสะกิดต่อมนั้นของตัวเองเข้า
เช่น เขาว่าโง่ ก็ไปสะกิดต่อมตัวเราเองเข้า
คือไปคิดว่า เขาว่าเรา เขาด่าเราโง่ เราเป็นคนโง่
มันก็ได้โง่จริง ๆ คือไปโกรธเขา
คนที่โกรธคนอื่นเมื่อคนอื่นว่าเราหรือโกรธเรานั้น
ปราชญ์ท่านว่า โง่กว่าคนที่เขาด่าเขาว่าเขาโกรธเราเป็นแสนเท่า
ถ้าเป็นสงครามท่านก็ว่า พ่ายแพ้
ดังนั้น ใครจะว่าอะไรเราก็ตามเถอะ
ถ้าสติดีอยู่
ก็อยู่ด้วยความมีสติ
มันก็จบเรื่องเท่านั้น
การให้อภัย การไม่จองเวร การวางอุเบกขา มันก็อยู่ตรงนั้น
พูดไปพูดมาจะกลายเป็นคนอื่นหาว่า
ดัดจริต ไปซะอย่างนั้น
จึงเอวังแต่เท่านี้เทอญ
หึหึ
ธัชชัย ธัญญาวัลย
๑๑ มีนาคม ๒๕๕๗