ซื้อ E-BOOK
|
เมื่อเราต้องเดินย้อนทาง
ถ้าจะให้ด่าใครสักสองสามคน
หรือองค์กรไหนสักแห่งสองแห่ง
ที่ประสบมา
คงไม่ต้องมีความรื่นรมย์กันในบล็อกแห่งนี้เป็นแน่แท้
อย่ากระนั้นเลย
ข้าพเจ้าจะถือซะว่า
เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
และผ่านไปแล้วนั้น
เป็นดั่งคลื่นซัดสาดมาบนผืนทราย
มาแล้วก็หายไป
ไม่ตั้งอยู่นาน
จึงข้าพเจ้าไม่เอ่ยถึง
หรือพูดถึง
หรือหากจะพูดถึงสักครั้งหนึ่ง
ก็อาจจะอยู่ในรูปแบบบันทึกส่วนตัว
จำนวนบทความในบล็อกแห่งนี้
ใกล้ดำเนินมาถึงหนึ่งพันบทความแล้ว
อีกไม่กี่บทความ
ก็จะถึง
ความจริง
หากนับเอาบทความที่ข้าพเจ้าเคยเผยแพร่แล้วลบออกไปเสียบ้าง
ปิดบังเอาไว้ไม่ให้สาธารณชนเห็นเสียบ้าง
ก็มากถึง ๙๙๗ บทความแล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้น
บล็อกแห่งนี้
ก็ตั้งขึ้นมานาน
เท่าที่ค้นดู
บทความแรก
วันเสาร์ที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๙
ปีนี้ ๒๕๕๖
ถ้านับถึงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖
ก็รวมทั้งสิ้น ๗ ปี
๗ ปี กับกว่า ๑,๐๐๐ entries
ก็ถือว่า มากพอสมควร
คนเราจะมีเรื่องราวอะไรให้เล่ามากมายขนาดนั้น
ข้าพเจ้าก็ยังไม่แน่ใจ
แต่บางเอ็นทรี่
ก็ไม่ใช่ของข้าพเจ้า
บางเอ็นทรี่ก็เป็นสิ่งที่ลอกเขามาแปะไว้
เพื่อให้ประชาชนผู้เข้ามาเยี่ยมชม
ได้ดูบ้างอะไรบ้าง
ข้าพเจ้าชอบรวมรวมสติถิ
โดยเฉพาะสถิติของตัวเอง
เป็นต้นว่า
โทรศัพท์กี่ชั่วโมงในระยะเวลากี่ปี
หรืออ่านหนังสือกี่เล่ม กี่ชั่วโมง
ใช้เงินไปเท่าไหร่ตลอดระยะเวลาเท่านั้นเท่านี้ปี
นั่งสมาธิกี่ครั้งในกี่ปี
ปีนี้มีรายได้รวมเท่าไหร่
หรือมีรายจ่ายเท่าไหร่
มีหนี้สินอะไรบ้าง
ซึ่งการบันทึกของข้าพเจ้าก็ประสบความสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง
บางครั้งข้าพเจ้าก็อยากจะได้ข้อมูลที่ยากต่อการได้
เช่น
ในชีวิตนี้
ข้าพเจ้าจะใช้เงินไปทั้งหมดทั้งสิ้นกี่บาท
เอาแบบเป๊ะ ๆ
ซึ่งก็คงเป็นไปได้ยากมาก
แท้แล้วการเผยแพร่ผลงานทางอินเทอร์เน็ตของข้าพเจ้า
ไม่ได้เริ่มที่บล็อกแห่งนี้
หากเริ่มจากในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์ประพันธ์สาส์น
และก็ไปตามเว็บบอร์ดอื่น ๆ บ้าง
จนกระทั่งไปพันทิป
และได้สร้างพันทาวน์ ซึ่งเป็นคล้าย ๆ กับบล็อก
จากนั้นก็เริ่มทำเว็บของตัวเอง
โดยใช้โปรแกรมดรีมเว็บเวอร์ และคอมพิวเตอร์ของเพื่อน
อัพโหลดขึ้นไปในเซิร์ฟเวอร์ของจุฬาฯ
ซึ่งเปิดให้นิสิตและบุคลากรใช้ฟรี
ก่อนที่จะมีบล็อกต่าง ๆ ของไทยผุดขึ้นมา
อาทิ โอเคเนชั่นบ้าง หรือ บล็อกแก๊งค์บ้าง
ข้าพเจ้าจบชีวิตตัวเองลงที่นี่
Blogspot.com
ซึ่งแต่ก่อนเป็นของใครไม่รู้ แต่ตอนนี้กูเกิ้ลไปเอามาเป็นของตัวเองแล้วเรียบร้อย
ก่อนการเกิดมีของ Hi5 และ Facebook
ข้าพเจ้าก็ท่องเที่ยวไปตามบล็อกต่าง ๆ และเว็บบอร์ดบ้างประปราย
จนกระทั่งทุกวันนี้
สังคมเฟซบุคมีอำนาจครอบงำอย่างมากต่อประชากรโลก
และต่อไปจะเป็นอะไรเราก็ยังบอกไม่ได้
แต่ที่แน่ ๆ สิ่งสำคัญที่เป็นองค์หลัก
ที่เราต้องระลึกอยู่เสมอก็คือ
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
มันก็หนีไม่พ้นเรื่องของการ "สื่อสาร" ไปได้
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
นิยมการติดต่อสื่อสารกันเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งที่บางครั้ง
การติดต่อสื่อสารกันนั้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย
หากเพียงเราต้องการที่จะ "พูดคุย" กัน ก็เท่านั้น
รูปแบบของการพูดคุยก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
และเครื่องมือ
รวมทั้งรูปแบบของเครื่องมือ
ซึ่งรองรับการพูดคุยที่ตอบสนองความต้องการมนุษย์ได้มากที่สุดในคาบหนึ่งสมัยหนึ่ง
ก็ย่อมเรียกได้ว่า "ประสบความสำเร็จ" ในแง่เครื่องมือสื่อสาร
แม้บางครั้ง
การสื่อสารของมนุษย์จะต้องการหลายสิ่งอย่างมาประกอบกัน
เพื่อสื่อสารก็ตาม
เอาง่าย ๆ คิดง่าย ๆ อย่างเฟซบุค
เราต้องอาศัยอย่างน้อยสามสิ่ง คือ อุปกรณ์ สัญญาณอินเทอร์เน็ต และตัวของเว็บไซต์เฟซบุคเอง
แต่ถ้าหากเรามองเข้าไปให้ลึกกว่านั้นแล้ว
มันยังมีสิ่งอื่นซ่อนอยู่อีก
ไม่ว่าจะเป็น พลังงาน ทุน บุคคล หรือแม้กระทั่งธาตุ และองค์ประกอบแวดล้อมต่าง ๆ
ยิ่งเราวิเคราะห์กันให้ละเอียดเท่าไหร่
ก็จะยิ่งค้นพบว่า
แค่ "การสื่อสาร" หรือการที่จะต้อง "พูดคุย" กันระหว่างมนุษย์นั้น
ช่างยุ่งยากและซับซ้อนเหลือเกิน
เหลือเกินจนกระทั่งบางครั้ง เราไม่อาจนึกออกแล้วว่า
เราจะนัดพบและเจอกันได้อย่างไรถ้าเราไม่มีโทรศัพท์มือถือ
และเหลือเกินจนกระทั่งเราลืมไปแล้วว่า
เราแค่ต้องการ "พูดคุย" หรือต้องการสิ่งอื่นด้วย และสิ่งต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกให้เรานั้น
เราจำเป็นต้องมีแค่ไหน หรือจำเป็นต้องใช้แค่ไหน หรือเราใช้มันเพื่ออะไร
บางครั้งเราก็วิ่งตามมันจนกระทั่ง
เราลืมเลือนว่า
เรามีชีวิตอยู่
เพื่ออะไร
เราดำเนินชีวิตในแต่ละวันอย่างไร
ดำเนินไปทำไม
และจะดำเนินไปไหน
มันจะไม่ใช่ปัญหาที่ต้องขบคิดอะไร
หากเราเดินตามกระแสไปเรื่อย ๆ
ไปตามชนหมู่มาก
ไปตามที่เขาอยากให้เราไป
แต่แท้แล้ว
เราต้องคิดทวนกระแสขึ้นมาบ้าง
ไม่เช่นนั้น
เราก็จะเป็นไอ้งั่งอยู่ร่ำไป
ธัชชัย ธัญญาวัลย
๑๘ มีนาคม ๒๕๕๖
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น